“คุณหมอคะ พอดีมีปัญหาเป็นเริม 3-4 วันแล้ว ตอนนี้อาบน้ำปกติทุกวันแล้วเห็นว่าแผลไม่แห้งสักที เลยสงสัยว่าเริมมันโดนน้ำได้ไหมคะ” และนี่คือตัวอย่างคำถามที่คนไข้มักมาปรึกษาหมอเป็นประจำ และยังมีอีกหลายคำถามที่ถามเข้ามาเกี่ยวกับการอาบน้ำซึ่งคำถามส่วนใหญ่ที่เราได้รับมักจะเกี่ยวข้องกับกิจวัตรประจำวันที่ลูกค้ามีความกังวลเกี่ยวกับการดูแลแผลกันทั้งนั้น
วันนี้เราเลยมาตอบคำถาม เพื่อไขข้อข้องใจกัน ว่าที่จริงแล้วแผลเริมโดนน้ำได้หรือเปล่า อาบน้ำได้ไหม จะมีผลอะไรไหม ? กันค่ะ
สำหรับผู้ที่เคยมีอาการเริม หรือตอนนี้เป็นเริมอยู่สามารถอาบน้ำได้ตามปกตินะคะ แต่มีสิ่งที่ควรระวังคือ ขณะที่เป็นเริมไม่ควรขัดถูผิวบริเวณที่เป็น รวมถึงการใช้ใยขัดตัวด้วย เนื่องจากการใช้ใยขัดตัวเป็นการรบกวนการทำงานในการฟื้นฟูตัวเองของระบบผิวหนัง และใยขัดตัวที่ใช้เป็นประจำอาจมีเซลส์ผิวที่ตายแล้วสะสมอยู่ ร่วมกับกับอุณหภูมิร้อนชื้นในห้องน้ำ ใยขัดตัวจึงเป็นแหล่งเพาะเชื้อที่ทำให้เชื้อยีสต์และราเจริญเติบโตได้เป็นอย่างดี มีโอกาสทำให้เชื้อแบคทีเรียต่างๆก่อตัว และสะสมอยู่ในใยขัดตัวเหล่านี้ได้ง่าย ซึ่งอาจมีทั้งที่เรามองเห็น และมองไม่เห็น เมื่อนำมาใช้ทำความสะอาดผิว นอกจากเชื้อยเหล่านั้นจะกลับมาอยู่บนผิวของเราแล้ว หากเรามีแผลตามร่างกาย เชื้อโรคอาจเข้าสู่ร่างกายผ่านแผลเหล่านั้นได้เช่นกัน และหลังจากอาบน้ำเสร็จแล้วควรซับผิวบริเวณที่เป็นเริมให้แห้งทุกครั้งด้วยค่ะ
สำหรับผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดผิวสำหรับผู้ที่เป็นเริม ควรเลือกใช้ผลิตภัณฑ์ที่ประกอบด้วยสารที่ให้ความชุ่มชื้นของผิว เช่น กลีเซอลีน และผลิตภัณฑ์ที่ปราศจากสารเคมี สารสเตียรอยด์ พาราเบน และแอลกอฮอล์ โดยค่าความสมดุลของผิวจะมีสภาพเป็นกรดอ่อนๆ ในระดับ pH 5.5 ดังนั้นค่า pH ของสบู่ที่เลือกใช้ควรอยู่ที่ 5.5 จึงจะเหมาะสมกับสภาพผิวของเราและช่วยเพิ่มความแข็งแรงให้กับผิว
การอาบน้ำควรเลือกอาบด้วยน้ำอุ่นประมาณ 5 นาที และสลับมาอาบน้ำเย็นต่ออีก 5 นาที เพื่อกระตุ้นการบีบตัวของเส้นเลือดใต้ผิวหนัง ทำให้เลือดลมไหลเวียนได้ดี ส่งผลให้ผิวของเรามีความแข็งแรงมากขึ้น หากอาบน้ำเย็นเพียงอย่างเดียวในสภาพที่ร่างกายอ่อนแอหรือสภาพอากาศเย็น จะส่งผลให้ระบบหมุนเวียนเลือดผิดปกติ อุณหภูมิร่างกายลดลงรวดเร็ว และก่อให้เกิดอาการเจ็บป่วยได้ง่าย หรือหากอาบน้ำอุ่นเพียงอย่างเดียว น้ำอุ่นเป็นตัวการทำลายน้ำมันที่อยู่บนผิวออกไป จึงเป็นสาเหตุหลักที่ทำให้ผิวแห้งกร้าน เกิดการระคายเคืองได้ง่ายมากขึ้น และหากอาบน้ำอุ่นในสภาพอากาศเย็นจะทำให้ร่างกายต้องมีการปรับอุณหภูมิกะทันหัน เสี่ยงต่อการเจ็บป่วยได้ง่ายเช่นกัน
ช่วงเวลาที่เหมาะสมสำหรับการอาบน้ำคือ 19.00-21.00 น. เพราะเป็นช่วงเวลาที่ระบบต่างๆภายในร่างกายมีการหยุดนิ่ง การผ่อนคลายและการไหลเวียนเลือดจะดีในช่วงนี้ หากอาบน้ำอุ่นและน้ำเย็นสลับกันก็จะเกิดความผ่อนคลายและช่วยให้เลือดไหลเวียนได้ดีมากขึ้น ซึ่งสอดคล้องกับนาฬิกาชีวิต จึงทำให้ร่างกายมีภูมิคุ้มกัน สามารถต่อต้านโรคต่างๆได้ดีมากขึ้น ช่วงเวลาที่ไม่ควรอาบน้ำ คือช่วงเวลาหลัง 21.00 น. เนื่องจากหลัง 21.00 น. เป็นช่วงที่ร่างกายต้องการความอบอุ่น เนื่องจากระบบหายใจ (ปอด) ระบบย่อยอาหาร (กระเพาะอาหาร ม้าม ตับ) และระบบขับถ่าย (ไต กระเพาะปัสสาวะ ลําไส้เล็ก) พร้อมปรับเข้าสู่สมดุล ทำให้อุณหภูมิในร่างกายจะค่อย ๆ ลดลง หากอาบน้ำในช่วงนี้ จะกระทบต่ออวัยวะภายในต่างๆที่สำคัญ เกิดเป็นของเสียสะสมในร่างกาย รวมทั้งทำให้เกิดการเสื่อมของอวัยวะต่างๆ ก่อนเวลาอันควร เมื่อนาฬิกาชีวิตเราทำงานผิดปกติไป ร่วมกับความชื้นที่ได้รับมาจะทำให้ร่างกายอ่อนแอมากขึ้น ส่งผลให้อาการเจ็บป่วยต่างๆกำเริบได้ง่ายมากขึ้นด้วย
ฉะนั้นแล้ว หมดความกังวลใจได้เลยค่ะ หากคุณมีอาการของเริมแล้วก็ยังสามารถอาบน้ำได้ตามปกติ เพียงแต่เพิ่มความพิถีพิถันขึ้น เช่น ควรเลือกอาบในช่วงเวลาที่เหมาะสม นั่นคือ ก่อน 21:00 น. และควรอาบน้ำอุ่นสลับน้ำเย็น หลีกเลี่ยงการแกะเกาหรือการไม่ขัดบริเวณที่เป็นร่วมด้วย ปรับเพียงเท่านี้คุณก็จะสามารถดูแลให้แผลเริมหายสนิทได้เร็วขึ้นได้ หรือหาตัวช่วยรักษา และใช้ชีวิตอย่างมีความสุขนะคะ
สามารถปรึกษากับพวกเรา Poonrada Yathai ได้เสมอนะคะ (ปรึกษาฟรีไม่มีค่าใช้จ่ายค่ะ)
LINE ID: @Poonrada
TEL: 02-1147027
ผู้เชี่ยวชาญด้านสมุนไพร
"สมุนไพร คือ ของขวัญจากธรรมชาติ เราจึงตั้งใจมอบสมุนไพรที่ดีที่สุด ให้ถึงมือคุณ"
แพทย์แผนไทย
" ความมั่งคั่งที่แท้จริง จะเกิดขึ้นได้ เมื่อเรามีสุขภาพกายและใจที่ดี สมดุล แข็งแรง "