รู้ไหมคะ 8.9% ของคนไทย ตรวจพบว่าเป็นโรคเบาหวาน และในช่วงอายุ 60-79 ปี ตรวจพบว่าเป็นโรคเบาหวานสูงถึง 19% นั่นหมายความว่า ใน 5 คน จะตรวจพบว่าเป็นโรคเบาหวาน 1 คน และมีผู้ป่วยโรคเบาหวานเกือบครึ่งหนึ่ง ที่ไม่ทราบว่าตนเองเป็นโรคเบาหวานมาก่อน
.
วันนี้ปุณรดายาไทยจะมาไขข้อสงสัยเกี่ยวกับโรคเบาหวาน เพื่อให้ท่านผู้อ่านได้รับข้อมูลที่ถูกต้องกันค่ะ
ในภาวะปกติของร่างกาย เมื่อเรารับประทานอาหารเข้าสู่ร่างกาย จะทำให้ระดับน้ำตาลในเลือดสูงขึ้น หลังจากนั้นร่างกายจะหลั่งฮอร์โมนอินซูลินออกมา เพื่อนำพาน้ำตาลเข้าสู่เซลล์ไปใช้ต่อไป
ดังนั้นโรคเบาหวาน คือ โรคที่มีระดับน้ำตาลในเลือดสูงเกินกว่าปกติ อย่างต่อเนื่องและเรื้อรัง โดยเกิดจากความผิดปกติของตับอ่อน ทำให้หลั่งฮอร์โมนอินซูลินได้น้อยกว่าปกติ หรือเกิดภาวะดื้อต่ออินซูลิน อินซูลินออกฤทธิ์ได้ไม่เต็มที่ ไม่สมารถดูดซึมน้ำตาลไปใช้ได้ ส่งผลให้น้ำตาลคงอยู่ในเลือดมาก
หากผู้ป่วยโรคเบาหวานที่ระดับน้ำตาลในเลือดสูงไม่มากจะไม่มีอาการใด ๆ จะทราบได้ก็ต่อเมื่อตรวจเลือดเท่านั้น ส่วนผู้ป่วยที่มีระดับน้ำตาลในเลือดสูง อาจมีอาการหิวน้ำบ่อย ปากคอแห้ง ปัสสาวะบ่อย โดยเฉพาะอย่างยิ่งต้องลุกขึ้นมาปัสสาวะกลางคืนหลาย ๆ ครั้ง และน้ำหนักลด เป็นต้น
โดยการวินิจฉัยโรคเบาหวาน สามารถทำได้โดยวิธีใดวิธีหนึ่งก็ได้ ใน 4 วิธี ดังนี้ค่ะ
1. ผู้ที่มีอาการของโรคเบาหวานชัดเจน ได้แก่ หิวน้ำบ่อย ปัสสาวะบ่อย และมีปริมาณมาก น้ำหนักตัวลดลงโดยไม่มีสาเหตุ ตรวจวัดระดับน้ำตาลในเลือดเวลาใดก็ได้ ไม่จำเป็นต้องอดอาหารก่อนตรวจ มีค่าน้ำตาลในเลือด ≥ 200 มก./ดล.
2. ตรวจวัดระดับน้ำตาลในเลือด หลังอดอาหารอย่างน้อย 8 ชั่วโมง มีค่า ≥ 126 มก./ดล.
3. การตรวจความทนต่อกลูโคส โดยให้รับประทานกลูโคส 75 กรัม แล้วตรวจระดับน้ำตาลในเลือด หลังรับประทานกลูโคส 2 ชั่วโมง มีค่า ≥ 200 มก./ดล.
4. การตรวจระดับน้ำตาลสะสม ได้ค่า ≥ 6.5% โดยวิธีการตรวจ และห้องปฏิบัติการต้องได้การรับรองตามมาตรฐานที่กำหนด ซึ่งมีน้อยมากในประเทศไทย
สมาคมโรคเบาหวานแห่งประเทศไทยฯ ได้แนะนำให้มีการตรวจคัดกรองโรคเบาหวานในบุคคลที่เป็นกลุ่มเสี่ยงดังนี้
1. ผู้ที่มีอายุ 35 ปีขึ้นไป
2. ผู้ที่มีอายุน้อยกว่า 35 ปี แต่มีความเสี่ยงสูงต่อการเกิดโรคเบาหวาน ได้แก่
• มีดัชนีมวลกาย ≥ 25 กก./เมตร2 หรือมีรอบเอว > 32 นิ้วในผู้หญิง และรอบเอว > 36 นิ้วในผู้ชาย
• มีพ่อ แม่ พี่ หรือน้อง เป็นโรคเบาหวาน
• มีความดันโลหิตสูง
• มีไขมันไตรกลีเซอไรด์ในเลือดสูง > 250 มก./ดล. หรือ HDL คอเลสเตอรอลในเลือดต่ำกว่า 35 มก./ดล.
• ผู้ที่มีประวัติเคยเป็นโรคเบาหวานขณะตั้งครรภ์ หรือคลอดบุตรที่มีน้ำหนักตัวแรกคลอด มากกว่า 4 กิโลกรัม
• ผู้ที่เป็นโรคหัวใจและหลอดเลือด
• ผู้ที่มีโรคถุงน้ำในรังไข่
นอกจากนี้คนที่มีอาการสงสัยโรคเบาหวานก็ควรได้รับการตรวจโรคเช่นกันค่ะ
โรคเบาหวานแบ่งออกเป็น 4 ชนิด ตามสาเหตุของการเกิดโรค ได้แก่
เกิดจากเซลล์ตับอ่อนไม่สามารถผลิตอินซูลินได้ เซลล์ตับอ่อนถูกทำลายโดยภูมิคุ้มกันตัวเอง เป็นโรคเบาหวานที่เป็นแต่กำเนิด เลยมักพบในเด็ก คนอายุน้อย ผู้ป่วยจะมีอาการน้ำหนักลดลง หิวน้ำบ่อย ๆ ปัสสาวะบ่อย ๆ มีอาการอ่อนเพลีย เนื่องจากร่างกายเปลี่ยนไขมัน และโปรตีนในร่างกายมาใช้เป็นพลังงาน หากไม่รักษาอาจหมดสติ และเป็นอันตรายถึงชีวิต
เกิดจากที่ร่างกายสามารถผลิตอินซูลินขึ้นเองได้ แต่อินซูลินไม่สามารถทำงานได้เต็มที่ ไม่เพียงพอในร่างกาย หรือเซลล์เองที่ไม่ค่อยตอบสนองกับอินซูลิน ทั้งที่ผลิตอินซูลินได้เป็นปกติ โรคเบาหวานชนิดนี้ มักพบในผู้ใหญ่ อายุมากกว่า 30 ปี โดยเฉพาะผู้ที่มีภาวะอ้วน และพบได้บ่อยกว่าโรคเบาหวานชนิดที่ 1
เป็นเบาหวานที่จะเกิดขณะตั้งครรภ์เท่านั้น สามารถตรวจพบได้ราวสัปดาห์ที่ 24 ของการตั้งครรภ์ ซึ่งเป็นช่วงที่ร่างกายผลิตฮอร์โมนมากขึ้น ให้เพียงพอกับความต้องการของทารกที่กำลังเจริญเติบโต ฮอร์โมนนี้ทำให้ความไวต่ออินซูลินลดลง จึงไปทำให้น้ำตาลในเลือดสูงขึ้นจนเกิดเป็นโรคเบาหวาน แต่เมื่อคลอดลูกแล้วระดับดับน้ำตาลจะลดลงเป็นปกติเอง แต่เมื่อติดตามต่อไปพบว่า หญิงที่เป็นเบาหวานขณะตั้งครรภ์จะมีความเสี่ยงในการเกิดโรคเบาหวานได้มาก จึงควรติดตามเพื่อตรวจหาโรคเบาหวานเป็นระยะ
เช่น โรคเบาหวานที่เกิดจากความผิดปกติทางพันธุกรรม โรคของตับอ่อน ความผิดปกติของฮอร์โมน การได้รับยาบางชนิด เช่น ยากลุ่มสเตียรอยด์ หรือสารเคมี เป็นต้น
เห็นไหมคะโรคเบาหวานจริง ๆ แล้วมีอยู่หลายชนิดค่ะ แต่ชนิดที่พบได้บ่อย และคนส่วนใหญ่รู้จักกัน ก็คือ โรคเบาหวานชนิดที่ 2 ซึ่งสิ่งที่เราต้องตระหนักก็คือ ในปัจจุบันเริ่มพบโรคเบาหวานในกลุ่มคนอายุน้อยลง โดยเฉพาะวัยทำงาน วัยรุ่น หรือเด็กที่มีภาวะอ้วน
ทางการแพทย์แผนไทยโรคเบาหวานเป็นโรคที่เกิดจากการเสียสมดุลของธาตุน้ำ จึงทำให้ไปกระทบต่อธาตุธาตุดินให้เสียสมดุลด้วย ทำให้ธาตุดินทำงานได้ไม่ดี ดังนั้นแพทย์แผนไทยจึงใช้สมุนไพรเพื่อปรับธาตุน้ำให้สมดุล และสมบูรณ์ ธาตุดินที่เสียหายก็จะกลับมาสมดุลเช่นกัน แต่นอกจากการรับประทานยาสมุนไพรแล้ว ผู้ป่วยโรคเบาหวานเองก็ควรที่จะควบคุมการรับประทานอาหาร และปรับพฤติกรรมการใช้ชีวิตประจำวันร่วมด้วยนะคะ
ตำรับยาสมุนไพรรักษาโรคเบาหวานของปุณรดายาไทย เป็นตำรับยาที่สืบทอดมาตั้งแต่สมัยรัชกาลที่ 5 ถูกคิดค้น และพัฒนาอย่างต่อเนื่องจนถึงปัจจุบัน ในตำรับยาที่ช่วยรักษาโรคเบาหวานของเรามีทั้งตำรับยาที่ช่วยป้องกันโรคเบาหวานอย่าง ตำรับยา B-CARE ที่มีสรรพคุณช่วยลดระดับน้ำตาลในเลือด อีกทั้งยังสามารถขับของเสียในระบบไหลเวียนเลือด ช่วยแก้ปัญหาเลือดข้น เลือดหนืด ช่วยให้เลือดไหลเวียนได้ทั่วร่างกาย เรายังมีตำรับยา B-SKIN 2 ที่มีสรรพคุณรักษาแผลจากโรคเบาหวาน ช่วยสมานแผลที่เปื่อยเน่าให้กลับคืนสู่สภาพผิวปกติ ลดโอกาสที่จะต้องตัดอวัยวะทิ้งอีกด้วยค่ะ
ปุณรดายาไทยเราดูแล และให้คำปรึกษาอย่างรอบด้านด้วยความใส่ใจ วิเคราะห์อาการเฉพาะบุคคล เพื่อตอบสนองต่ออาการที่เป็น ไม่ว่าจะเป็นภูมิแพ้ชนิดไหน ก็รักษาให้หายสนิทได้ค่ะ
อย่าลืมนะคะ สมุนไพรเป็นยาที่มีประโยชน์มากค่ะหากใช้ให้ถูกวิธี หากใช้แบบขาดความรู้ความเข้าใจ อาจทำให้เกิดโทษ นำพาความเจ็บป่วยมาให้เราได้นะคะ ปุณรดายาไทยเป็นผู้เชี่ยวชาญด้านสมุนไพร และการดูแลสุขภาพแบบองค์รวม ออกแบบการรักษาเฉพาะบุคคลเพื่อให้ได้ผลรับที่ดีที่สุดค่ะ หากมีข้อสงสัย สามารถปรึกษาปุณรดายาไทยได้นะคะ ปรึกษาฟรีไม่มีค่าใช้จ่ายค่ะ
สามารถปรึกษากับพวกเรา Poonrada Yathai ได้เสมอนะคะ (ปรึกษาฟรีไม่มีค่าใช้จ่ายค่ะ)
LINE ID: @Poonrada
TEL: 086-955-6366, 091-546-9415
อ้างอิง
รศ.พญ.นันทกร ทองแตง. โรคเบาหวาน รู้ไหมใครเสี่ยง[อินเตอร์เน็ต]. 2563[เข้าถึงเมื่อ 23 ตุลาคม 2564]. เข้าถึงได้จาก: https://www.phyathai.com/article_detail/3384/th
ผู้เชี่ยวชาญด้านสมุนไพร
"สมุนไพร คือ ของขวัญจากธรรมชาติ เราจึงตั้งใจมอบสมุนไพรที่ดีที่สุด ให้ถึงมือคุณ"
แพทย์แผนไทย
" ความมั่งคั่งที่แท้จริง จะเกิดขึ้นได้ เมื่อเรามีสุขภาพกายและใจที่ดี สมดุล แข็งแรง "