เริม คือโรคติดต่อชนิดหนึ่ง ซึ่งเกิดจากการติดเชื้อไวรัส (HSV) โรคนี้พบได้ในคนทุกเพศทุกวัย แต่พบได้บ่อยที่สุดในวัยหนุ่มสาวและในวัยผู้ใหญ่ เมื่อติดเชื้อนี้แล้วเชื้อจะฝังอยู่ในร่างกายไปตลอดชีวิต แม้ว่าโรคเริมไม่มีวิธีการรักษาให้หายขาด แต่มักจะหายไปได้เองใน 1-2 สัปดาห์ และไม่ได้ทำให้เกิดแผลเป็นใดๆ
ผู้ที่เป็นเริมในช่วงแรก จะมีอาการอ่อนเพลีย อาจมีอาการคล้ายไข้หวัดนำมาก่อน 1 - 3 วัน เช่น ไข้สูง หรือ ไข้ต่ำ อ่อนเพลีย ปวดเมื่อยเนื้อตัว แต่ไม่มีอาการผิดปกติอื่นๆ บางคนจึงมักไม่รู้ตัวว่า "ติดโรคเริม"
จากนั้นจะเกิดตุ่มพองเล็กๆ แต่เจ็บ และเริ่มกลายเป็นตุ่มน้ำอย่างรวดเร็วภายใน 1 - 2 วัน ในตุ่มมีน้ำใสๆ ตุ่มมักเกิดเป็นกลุ่มๆ ลักษณะตุ่มคล้ายของ โรคงูสวัด และโรคอีสุกอีใส แต่เกิดในตำแหน่งและมีการแพร่กระจายของตุ่มที่แตกต่างกัน
โดยอาการเริมจะเป็นอยู่ประมาณ 1 - 2 สัปดาห์และหายเองได้ แต่เชื้อยังคงฝังตัวอยู่ รอกำเริบขึ้นอีกเมื่อร่างกายอ่อนแอ หรือมีระบบภูมิคุ้มกันต่ำ
ปัจจุบันนี้ ยังไม่มีวิธีใดสามารถรักษาโรคเริมให้หายขาดได้ มีเพียงวิธีช่วยบรรเทาอาการ และลดโอกาสการแพร่เชื้อไปยังผู้อื่นเท่านั้น โดยหลักๆ แล้วการ รักษาโรคเริม จะแบ่งออกเป็น 2 ส่วน คือ การบรรเทาอาการเจ็บปวด และการควบคุมการแพร่กระจายของไวรัส
แพทย์อาจสั่งแค่ยาบรรเทาอาการปวด เนื่องจากแผลโรคเริมสามารถหายเองได้ภายในเวลา 2-6 สัปดาห์
โดยปกติแล้วเมื่อมีอาการของโรคเริม แพทย์มักจะให้ใช้ยาต้านไวรัสอะไซโคลเวียร์ (Acyclovir) หรือยาวาลาไซโคลเวียร์ (Valacyclovir) ซึ่งยากลุ่มนี้สามารถยับยั้งการเพิ่มจํานวนของเชื้อไวรัส herpes โดยต้องใช้ยาให้เร็วที่สุด ก่อนที่การเพิ่มจํานวนของไวรัสจะหยุดลง เพื่อลดความเสี่ยงในการแพร่กระจายของเชื้อไวรัส และช่วยลดความรุนแรงของอาการ โดยยาเหล่านี้จะอยู่ในรูปของยาชนิดรับประทาน
นอกจากนี้ ยาที่มีส่วนประกอบของอะไซโคลเวียร์ที่อยู่ในรูปแบบครีมสำหรับทา ก็ยังนิยมนำมาใช้เพื่อบรรเทาอาการของเริมในขณะที่เป็นได้ด้วย การใช้ยาทาเริม ในปัจจุบันยังไม่มียาชนิดใดที่ได้ผลดีกับโรคนี้ ยาทาอาจจะได้ผลดีในแง่ลดอาการปวด ทำให้ผื่นแห้งเร็ว ซึ่งยาที่นิยมใช้ก็คือ "ครีมอะไซโคลเวียร์" ที่ใช้ได้ผลเฉพาะกับเริมที่เป็นครั้งแรก และไม่ช่วยลดจำนวนของเชื้อหรือลดระยะเวลาที่เป็นโรค ส่วนยาทาอื่น ๆ นั้นต้องเลือกให้ดีเพราะอาจมีแอลกอฮอล์หรือสารที่ระคายเคืองอย่างอื่นผสมอยู่ ซึ่งทำให้แผลหายช้า ส่วนยาทาที่ผสมสเตียรอยด์ก็ไม่ควรใช้ เพราะจะทำให้แผลหายช้า
ในคัมภีร์ตักศิลากล่าวถึงเริมไว้ว่า
“...ไข้เริมน้ำค้าง ลักษณะการผุด ผุดขึ้นมาเป็นแผ่น ขนาด 1 – 2 – 3 – 4 นิ้ว เป็นเหล่าๆ กัน มีน้ำใสๆ เรียกว่า เริมน้ำค้าง ต่อมาน้ำใสๆ จะกลายเป็นเหลืองขุ่น เรียกว่า เริมน้ำข้าว แล้วแตกกลายเป็นสะเก็ด หายไปได้เองใน 1-2 สัปดาห์ อาการ จับสะท้านร้อนสะท้านหนาว เชื่อมมัว ปวดศีรษะ...”
กลไกการเกิดโรคเริมในทางการแพทย์แผนไทย เชื่อว่าเกิดจากการที่ธาตุไฟในร่างกายทำงานมากเกินไป หรือกำเริบจนทำให้เกิดอาการไข้ ตัวร้อน มีผลต่อผิวบริเวณตะโจ หรือหนังที่เป็นเนื้อเยื่ออ่อน เช่น ปาก เยื่อบุปาก อวัยวะเพศ ได้รับความร้อนจนผุดขึ้นเป็นแผล มีอาการแสบร้อนบริเวณผิว ระบบเลือดและน้ำเหลืองที่ถูกกระทบความร้อนสูงจะผุดขึ้นใต้ผิวหนัง ทำให้กลายเป็นตุ่มใส หากตุ่มนี้แตกออกจะมีน้ำเหลืองไหลออกมาร่วมด้วย
"ในการรักษาจึงควรคำนึงถึงต้นเหตุเป็นหลัก หากธาตุไฟทำงานมากเกินไป ควรรักษาด้วยการลดความร้อนในร่างกาย พร้อมกับรักษาระบบน้ำเหลืองร่วมด้วย"
ปุณรดาจะใช้สมุนไพรชุด H-SET ในการรักษา เพราะสมุนไพรจะช่วยฟอกโลหิตที่เสีย ช่วยฆ่าเชื้อแบคทีเรียและไวรัสที่เข้าสู่ระบบไหลเวียนโลหิต ช่วยทำให้อาการเริมที่กำเริบหายได้เร็วขึ้น ช่วยสร้างเกล็ดเลือดใหม่ให้แข็งแรง ฟื้นฟูและบำรุงระบบภูมิคุ้มกัน ให้กลับมาทำงานได้ตามปกติพอร่างกายแข็งแรง การเกิดซ้ำของเริมจะเป็นได้ยากขึ้น
ในช่วงนี้ ปุณรดาจะใช้สมุนไพรชุด B-BOOST-Health Refreshment เพื่อป้องกันการเกิดโรคซ้ำ ลดความถี่ของการเกิดโรคเริม ช่วยปรับสมดุลธาตุทั้ง 4 ให้กลับมาเป็นปกติ เสริมสร้างภูมิคุ้มกัน ให้ร่างกายแข็งแรงจนไม่กลับมาเป็นซ้ำอีก
หากเป็นเริมและไม่ได้รับการรักษาอย่างถูกต้อง จะส่งผลให้เกิดภาวะแทรกซ้อนของเริมได้ โดยการติดเชื้ออาจลุกลามไปที่อวัยวะอื่น ๆ หากติดเชื้อที่รุนแรง อาจถึงขั้นเสียชีวิตได้
สามารถปรึกษากับพวกเรา Poonrada Yathai ได้เสมอนะคะ (ปรึกษาฟรีไม่มีค่าใช้จ่ายค่ะ)
LINE ID: @Poonrada
TEL: 02-1147027
ผู้เชี่ยวชาญด้านสมุนไพร
"สมุนไพร คือ ของขวัญจากธรรมชาติ เราจึงตั้งใจมอบสมุนไพรที่ดีที่สุด ให้ถึงมือคุณ"
แพทย์แผนไทย
" ความมั่งคั่งที่แท้จริง จะเกิดขึ้นได้ เมื่อเรามีสุขภาพกายและใจที่ดี สมดุล แข็งแรง "