5 วิธี สังเกตอาการโรคเก๊าท์เริ่มต้น ได้ด้วยตัวเอง

ในปัจจุบันด้วยพฤติกรรมการใช้ชีวิตที่ใช้ร่างกายในการทำงานหนัก และอายุที่มากขึ้น ส่งผลให้มีอาการปวดเมื่อยกล้ามเนื้อ ตลอดจนการปวดข้อตามต่าง ๆ ตามร่างกายได้ง่ายมากขึ้น

เมื่อมีอาการเหล่านี้เกิดขึ้น โดยเฉพาะอาการปวดข้อตามร่างกาย เราจะรู้ได้อย่างไรว่าเป็นอาการร่วมของโรคทางระบบกล้ามเนื้อ อาการของโรคทางกระดูก หรือเป็นอาการเบื้องต้นของโรคเก๊าท์? ซึ่งการแยกโรคจากอาการที่เกิดขึ้นเป็นสิ่งสำคัญอย่างมากในการรักษา หากได้รับการรักษาที่ไม่ตรงกับอาการหรือโรคที่เป็น จะทำให้อาการเหล่านั้นยังคงอยู่และอาจเพิ่มความรุนแรงของโรคได้เนื่องจากการรักษาที่ไม่ตรงจุด หมอจึงนำ 5 วิธีสังเกตโรคเก๊าท์เบื้องต้น มาฝากให้ท่านผู้อ่าน ซึ่งสามารถตรวจเก๊าท์ได้ด้วยตัวเองง่าย ๆ และยังสามารถนำ 5 วิธีนี้ไปตรวจเก๊าท์ให้บุคคลในครอบครัวได้อีกด้วยค่ะ

สาเหตุโรคเก๊าท์

สาเหตุของการเกิดโรคเก๊าท์ เกิดจากการที่ในร่างกายของเรามีภาวะกรดยูริกในเลือดสูง (Hyperuricemia) เมื่อมีกรดยูริกในปริมาณมากทำให้กรดยูริกเหล่านี้ตกผลึกและไปสะสมอยู่ภายในข้อต่าง ๆ ตามร่างกาย ทำให้เกิดอาการปวดบวมหรือเกิดข้ออักเสบนั่นเองค่ะ แต่ท่านผู้อ่านก็ยังคงสงสัยกันใช่ไหมคะว่า แล้วร่างกายของเรามีภาวะกรดยูริกสูงได้อย่างไร? กรดยูริกเหล่านี้มาจากไหนได้บ้าง?

โดยสาเหตุที่ทำให้เกิดภาวะกรดยูริกในเลือดสูง มีดังนี้

1. การถ่ายทอดทางพันธุกรรม โดย 1 ใน 5 ของผู้ป่วย มีประวัติบุคคลในครอบครัวป่วยเป็นโรคเก๊าท์

2. เพศและอายุ โรคเก๊าท์สามารถพบในช่วงอายุ 30-50 ปี ซึ่งพบในเพศชายมากกว่าเพศหญิง

3. โรคประจำตัว ประกอบด้วยโรคต่าง ๆ ดังนี้

• โรคไต เป็นโรคที่ไตทำงานผิดปกติ มีความสามารถในการขับของเสีย (กรดยูริก) ลดลง ทำให้กรดยูริกสะสมในเลือดสูงขึ้น

• โรคสะเก็ดเงิน เป็นโรคที่เกิดการสร้างเซลล์ใหม่มาทดแทนเซลล์ผิวเก่าอย่างรวดเร็ว ทำให้เกิดกรดยูริกที่เป็นของเสียจากการสร้างเซลล์มีปริมาณสูงขึ้น

• โรคอ้วน โรคเบาหวาน โรคความดันโลหิตสูง โรคไขมันในเลือดสูง เป็นกลุ่มโรคที่มีการใช้ยาที่ส่งผลให้กรดยูริกเพิ่มมากขึ้น

4. ยาบางชนิด เช่น ยาขับปัสสาวะ ยาเคมีบำบัด ยาแอสไพริน และยาลดความดันโลหิต เป็นยาที่ส่งผลต่อระดับกรดยูริกในร่างกาย

5. การรับประทานอาหารที่มีสารพิวรีนสูง เช่น เนื้อแดง (เนื้อวัว เนื้อหมู เนื้อเป็ด) เครื่องในสัตว์ (ตับ ไต หัวใจ ไส้ กระเพาะ) อาหารทะเล (ปลาซาร์ดีน ปลาไส้ตัน ปลาทู หอยเชลล์ หอยแมลงภู่) และยอดผัก (หน่อไม้, ผักโขม, ดอกกะหล่ำ, ชะอม) เนื่องจากสารพิวรีนจะถูกย่อยสลายเป็นกรดยูริก สามารถทำให้ปริมาณกรดยูริกสูงขึ้นได้

6. การดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ เครื่องดื่มน้ำอัดลมและเครื่องดื่มน้ำผลไม้บางชนิดที่มีน้ำตาลฟรุกโตส ส่งผลให้กรดยูริกมีปริมาณสูงขึ้น

5 วิธีสังเกตอาการว่าเป็นเก๊าท์หรือเปล่า

ตัวเราเองอยู่กับร่างกายทุกวัน และตัวเรานี้เป็นคนที่รู้จักร่างกายของเราดีที่สุด ดังนั้นการตรวจเก๊าท์ด้วยตัวเองที่หมอนำมาฝากท่านผู้อ่านจึงเป็นวิธีที่ทำได้ง่ายเพียงแค่ใช้วิธีการสังเกตร่างกายตัวเองว่าร่างกายมีการเปลี่ยนแปลงไปอย่างไรบ้าง หากท่านผู้อ่านพร้อมแล้ว ไปสังเกตอาการเก๊าท์พร้อม ๆ กับหมอ ทีละข้อกันได้เลยค่ะ

1. สังเกตตามข้อต่าง ๆ ในร่างกาย อาทิ ข้อมือ ข้อนิ้วมือ ข้อเท้า ข้อนิ้วเท้า ข้อศอก และข้อเข่า ว่ามีอาการปวด บวม แดง ร้อน หรือไม่ ซึ่งอาการโรคเก๊าท์เบื้องต้นมักเริ่มมีอาการจากบริเวณข้อนิ้วหัวแม่เท้า

2. สังเกตความถี่ของการเกิดโรค โดยอาการปวดข้อในโรคเก๊าท์เบื้องต้น อาการจะเป็น ๆ หาย ๆ มีอาการปีละ 1-2 ครั้ง

3. สังเกตช่วงเวลาอาการกำเริบ โรคเก๊าท์มักจะอาการปวดมากในเวลากลางคืน และหลังจากรับประทานอาหารแสลงหรือกลุ่มอาหารที่มีสารพิวรีนสูง

4. สังเกตตามข้อที่มีอาการปวด ว่ามีตุ่มก้อนออกมา และผิวหนังบริเวณนั้นมีอาการลอกเป็นสีขาวหรือไม่

5. สังเกตว่ามีอาการติดขัดบริเวณข้อและเคลื่อนไหวได้ไม่สะดวกหรือไม่

วิธีตรวจเก๊าท์กับทางโรงพยาบาล

นอกจากการสังเกตอาการโรคเก๊าท์เบื้องต้นด้วยตัวเองแล้ว การไปพบแพทย์เพื่อทำการซักประวัติ ตรวจวินิฉัยอีกครั้งก็เป็นสิ่งสำคัญ หากมีผลการตรวจเก๊าท์ทางห้องปฏิบัติการเพิ่มเติมก็จะสามารถยืนยันการวินิจฉัยโรคที่ถูกต้องได้ นำไปสู่การวางแผนการรักษาและการติดตามผลการรักษาได้แม่นยำมากยิ่งขึ้น โดยโรงพยาบาลมีวิธีการตรวจเก๊าท์เพื่อยืนยันการวินิจฉัยโรค ดังต่อไปนี้

1. การเจาะน้ำไขข้อ แพทย์จะเจาะน้ำไขข้อจากบริเวณข้อที่มีอาการ มาตรวจว่ามีผลึกของกรดยูริกหรือไม่ โดยการเจาะน้ำไขข้อจะทำการตรวจในช่วงที่ไม่มีการอักเสบ และจะไม่เจาะขณะที่ผู้ป่วยมีอาการปวดมาก

2. การเจาะเลือด เป็นการตรวจเพื่อดูระดับกรดยูริก โดยค่าปกติของกรดยูริกในเพศชายต้องไม่เกิน 8 มิลลิกรัมต่อเดซิลิตร และในเพศหญิงต้องไม่เกิน 6 มิลลิกรัมต่อเดซิลิตร (หรือยึดตามค่าในใบตรวจเลือด) ซึ่งการมีระดับกรดยูริกในเลือดสูงไม่สามารถบอกได้ว่ามีการตลกผลึกในข้อเสมอไป

3. การตรวจปัสสาวะ เป็นการตรวจกรดยูริกที่ถูกขับออกมาทางปัสสาวะ โดยค่าปกติของกรดยูริกในเพศชายต้องไม่เกิน 250 – 800 มิลลิกรัม/24 ชม. และในเพศหญิงต้องไม่เกิน 250 – 750 มิลลิกรัม/24 ชม. (หรือยึดตามค่าในใบตรวจปัสสาวะ) ผู้ป่วยโรคเก๊าท์จะมีการขับกรดยูริกออกมามากกว่าปกติ

4. การตรวจ Dual Energy CT Scan เป็นการตรวจเอกซเรย์ทางคอมพิวเตอร์ที่แสดงให้เห็นการตกผลึกของกรดยูริก การตรวจนี้เหมาะสำหรับตรวจผลึกที่เป็นก้อนใหญ่ โดยแพทย์จะประเมินจากลักษณะข้อที่ผิดปกติและระยะเวลที่เป็นมานาน 5-10 ปี

ลองตรวจเช็คอาการไปพร้อมกันกับหมอนะคะ แต่ถ้าใครกำลังเผชิญกับอาการปวดตามข้อจากเก๊าท์อยู่และกำลังมองหาตัวช่วยในการรักษาด้วยสมุนไพรจากธรรมชาติ ปลอดภัย ไร้สารเคมีและไม่มีอันตรายต่อตับ ไต และระบบภายในร่างกาย วันนี้หมอมีชุดยาที่หมอใช้รักษาผู้ป่วยเก๊าท์มาแชร์กันค่ะ

ยารักษาโรคเก๊าท์ของปุณรดายาไทย

ปุณรดายาไทยรักษาอาการโรคเก๊าท์ด้วย ชุดการรักษา GT-Set ประกอบด้วย ยาสมุนไพร B-Comfort และ น้ำย่านาง Balance Gold โดยมีรายละเอียด ดังนี้

1. B-Comfort ยารับประทานชนิดแคปซูล มีส่วนประกอบของเถาวัลย์เปรียง เถาเอ็นอ่อน เถาโคคลาน กำลังวัวเถลิง กำลังเสือโคร่ง และอื่น ๆ ที่มีสรรพคุณแก้อาการข้ออักเสบ แก้ปวดข้อ ช่วยบำรุงกล้ามเนื้อ บำรุงเส้นเอ็น กระจายเลือดลมให้สามารถทำงานได้อย่างปกติ และช่วยให้ร่างกายเคลื่อนไหวได้อย่างคล่องตัวมากขึ้น

2. น้ำย่านาง Balance Gold น้ำสมุนไพรที่มีส่วนประกอบของใบย่านาง ใบเตย ใบบัวบก สมอไทย เชียงดา ดอกสายน้ำผึ้ง และดอกเก๊กฮวย ที่ผสมน้ำดื่มระหว่างวัน มีสรรพคุณช่วยลดอาการปวด ลดความร้อน ลดอาการอักเสบทั้งภายในและภายนอก และช่วยขับของเสียภาย กรดยูริกที่สะสมอยู่ในร่างกาย

ยาสมุนไพร B-Comfort และ น้ำย่านาง Balance Gold เป็นสารสกัดจากสมุนไพร 100% ไม่มีส่วนผสมของสารเคมีและสารสเตียรอยด์ ทั้งนี้เพื่อความปลอดภัยในการใช้ยา ปุณรดายาไทยมีทีมแพทย์แผนไทยคอยประเมินอาการและให้คำปรึกษาทุกครั้งก่อนการใช้ยาตลอดจนการรักษาเลยค่ะ

หมอเชื่อว่าท่านผู้อ่านที่อ่านบทความจนมาถึงตอนนี้ ได้มีการตรวจเก๊าท์ไปพร้อม ๆ กับหมอ 5 ข้อแล้วถูกต้องไหมคะ? ท่านผู้อ่านที่ได้ตรวจเก๊าท์ด้วยตัวเองโดยการสังเกตอาการเก๊าท์เบื้องต้นเพียง 5 ข้อตามที่หมอแนะนำแล้ว หากอาการที่เกิดขึ้นใกล้เคียงหรือตรงกับอาการเก๊าท์เบื้องต้น ควรรีบพบแพทย์เพื่อตรวจวินิจฉัยเพิ่มเติมและรับการรักษานะคะ เนื่องจากการรักษาเก๊าท์ตั้งแต่ระยะอาการเบื้องต้นจะช่วยป้องกันความรุนแรงของโรค และภาวะแทรกซ้อนที่อาจเกิดตามมาด้วยค่ะ

ก่อนจะจบบทความนี้ไป หมออยากฝากถึงท่านผู้อ่านทุกอ่านว่า เมื่อเกิดปัญหาด้านสุขภาพ ไม่ว่าจะโรคเก๊าท์หรือโรคใด ๆ ก็ตาม นอกจากการรีบพบแพทย์เพื่อรับการรักษาอาการทางร่างกายแล้ว การทำความเข้าใจเกี่ยวกับโรคก็เป็นสิ่งสำคัญเช่นกัน เพราะเมื่อตัวเราเองมีความเข้าใจในอาการ สาเหตุของโรคที่เกิดขึ้น ความเข้าใจเหล่านี้จะเป็นส่วนช่วยลดความกังวลต่าง ๆ เพราะปุณรดายาไทยไม่เพียงแต่สนใจผลลัพธ์ของการรักษาทางกายเพียงเท่านั้น แต่ปุณรดายาไทยยังสนใจ ให้ความดูแลเกี่ยวกับสุขภาพทางด้านจิตใจ เพื่อให้ทุกท่านมีคุณภาพชีวิตที่ดีในทุก ๆ ด้าน ด้วยการรักษาแบบองค์รวมจากปุณรดายาไทยค่ะ

ผู้เชี่ยวชาญด้านสมุนไพรและทีมแพทย์แผนไทยของปุณรดายาไทยมีความยินดีที่จะให้คำปรึกษา ตอบทุกคำถามเกี่ยวกับการใช้ยาสมุนไพร และพร้อมดูแลท่านผู้อ่านทุกท่าน โดยสามารถปรึกษาอาการเข้ามาทาง Line ของปุณรดายาไทยได้เลยนะคะ ทางเรามีคุณหมอคอยดูแลให้คำแนะนำ ทุกวัน ตั้งตั้งแต่ 09:00 - 21:00 เลยค่ะ ติดต่อทาง Line id : @poonrada หรือ โทร 02-1147027 นะคะ

ปุณรดายาไทยเชี่ยวชาญด้านสมุนไพร และการดูแลสุขภาพแบบองค์รวม ออกแบบการรักษาเฉพาะบุคคลเพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่ดีที่สุดค่ะ หากมีข้อสงสัย สามารถปรึกษาปุณรดายาไทยได้นะคะ ปรึกษาฟรีไม่มีค่าใช้จ่ายค่ะ