หลายคนคงเคยได้ยินคำว่า “สิวสเตียรอยด์” บางคนเคยเป็นมาก่อน หรือบางคนกำลังประสบปัญหาอยู่ คงจะพูดเป็นเสียงเดียวกันเลยว่า สิวเห่อแดงมาก หายช้า และต้องใช้เวลาในการรักษานาน
ในวันนี้ทางปุณรดายาไทยจะพาท่านผู้อ่านมารู้จักกับสิวสเตียรอยด์ให้มากขึ้น ทั้งวิธีการสังเกตอาการของสิวสเตียรอยด์ การรักษาสิวสเตียรอยด์ด้วยตนเอง และการใช้สมุนไพรในการรักษาสิวสเตียรอยด์ของทางปุณรดายาไทยกันนะคะ
หลายคนเข้าใจว่า “สิวสเตียรอยด์” คือสิวประเภทหนึ่งที่เกิดขึ้นบนผิวหน้า แต่แท้ที่จริงแล้ว “สิวสเตียรอยด์” ไม่ใช่สิว แต่เป็นการที่ผิวติดสารสเตียรอยด์ ไม่สามารถหยุดใช้สเตียรอยด์ได้ ซึ่งส่วนใหญ่จะเกิดจากการใช้ยาสเตียรอยด์ชนิดทา (Topical steroids), ผลิตภัณฑ์ที่มีส่วนประกอบของสเตียรอยด์ และการฉีดสิวต่อเนื่องเป็นเวลานาน ซึ่งส่งผลให้เกิดสิว รูขุมขนอักเสบ และผิวหนังอักเสบตามมาได้
ผู้ใช้ครีมสเตียรอยด์ มักพบว่า ตอนใช้ครีมสเตียรอยด์สิวลดลง หน้าขาวใสขึ้นในช่วงแรกที่ใช้ แต่ทันทีที่หยุดใช้ สิวทั้งหมดจะกลับมาเห่อ และเพิ่มปัญหาผิวในระยะยาวตามมาด้วย
จากที่กล่าวมาท่านผู้อ่านคงสงสัยใช่ไหมคะว่าแล้ว “สเตียรอยด์” คืออะไร ? มีความเกี่ยวข้องอย่างไรกับสิวสเตียรอยด์ ? ต้องขออธิบายก่อนว่า สเตียรอยด์ (Steroid) เป็นฮอร์โมนชนิดหนึ่งที่ร่างกายสร้างได้เองจากต่อมหมวกไตชั้นนอก (Adrenal cortex steroids) แต่สำหรับที่สเตียรอยด์ที่ใช้ในทางการแพทย์นั้น เป็นสารที่สังเคราะห์ขึ้น เพื่อใช้ในการรักษาโรค โดยเฉพาะการใช้ภายนอกเพื่อ “ลดการอักเสบ” กฎหมายกำหนดให้เป็นยาควบคุมพิเศษ เนื่องจากมีความเป็นพิษสูง และต้องให้แพทย์เป็นผู้สั่งจ่ายเท่านั้น
สาเหตุที่ใช้ครีมสเตียรอยด์แล้วหน้าใสขึ้น เป็นเพราะสารสเตียรอยด์ช่วยบรรเทาอาการอักเสบ และกดภูมิคุ้มกันในโรคต่าง ๆ บริเวณผิว ทำให้การอักเสบของสิวหายไปอย่างรวดเร็ว อีกทั้งยังมีกลไกที่ไปยับยั้งสารเคมีสื่อกลางที่ใช้ในการสร้างเม็ดสี (Melanin) จึงทำให้ผิวขาวขึ้นไวขึ้น ซึ่งผลลัพธ์ที่เห็นนี้เป็นผลลัพธ์เพียงชั่วคราวเท่านั้น ในทางกลับกันยังทำให้เกิดผลเสียตามมาในระยะยาว ได้แก่ ผิวบอบบางแพ้ง่าย รอยบุ๋มบนผิว สิวผด สิวเห่อ ผิวขาวได้ไม่นาน ก่อนจะกลับมาคล้ำกว่าเดิม และอาจเป็นฝ้าถาวร
ตามที่เราอธิบายกันมาจากข้างต้น สาเหตุหลักของการเกิดสิวสเตียรอยด์มาจากการใช้ยา และผลิตภัณฑ์ครีม ที่มีส่วนผสมของสเตียรอยด์ รวมถึงการฉีดสิวต่อเนื่องเป็นเวลานาน ซึ่งสารสเตียรอยด์ ทำให้เซลล์บริเวณรูขุมขนไวต่อการถูกกระตุ้น อีกทั้งทำให้มีปริมาณกรดไขมันมากขึ้น ส่งผลให้แบคทีเรีย P.acne (แบคทีเรียที่เป็นสาเหตุการเกิดสิว) ในรูขุมขนเจริญเติบโตเร็ว เกิดการสร้างคอมีโดนที่มากผิดปกติ กลายเป็นสิวอุดตัน หรือสิวอักเสบเม็ดใหญ่ ลุกลามเกือบทุกรูขุมขน นืกจากนี้ยังทำให้ภูมิคุ้มกันของผิวหน้าที่ถูกสเตียรอยด์กดไว้มาเป็นเวลานาน ทำให้ผิวอ่อนแอ ติดเชื้อได้ง่าย สิวสเตอรอยด์จึงมักรุนแรง มีหัวหนองขนาดใหญ่ มีสะเก็ดกรัง
หากผิวมีการติดสารสเตียรอยด์ ตอนใช้ผลิตภัณฑ์ที่มีสารสเตียรอยด์ผิวหน้าจะดี แต่เมื่อหยุดใช้ จะทำให้ผิวหนังอักเสบและเกิดตุ่มผื่นสิว หรือที่เราเรียกว่า สิวสเตียรอยด์ ขึ้นมา จะสามารถสังเกตลักษณะอาการได้ดังต่อไปนี้
• ตอนใช้ครีมหน้าจะเงาใสจนมองเห็นเส้นเลือด สิวหายเร็ว ผิวขาวไว
• บริเวณที่ทาครีมผิวจะนุ่ม และขนจะยาวขึ้นผิดปกติ
• แต่พอลืมทา หรือเลิกใช้ ผิวไม่สมดุล บางครั้งผิวแห้งลอก บางครั้งผิวมัน ผิวแพ้ง่าย
• หากเปลี่ยนครีม จะคันหน้า หน้าแดง แสบง่าย มีสิวผดขึ้น
• แต่พอกลับไปทาครีมเดิม อาการเหล่านี้ดีขึ้นอย่างรวดเร็ว
• สิวสเตียรอยด์ จะมีลักษณะเป็นปื้น กระจุก ประทุทุกรูขุมขน ทุกเม็ดจะดูคล้ายกัน ไม่ขึ้นกับระยะสิว
• อาจมีอาการคันร่วมด้วย
เมื่อผิวมีการติดสารสเตียรอยด์แล้ว การรักษาสิวด้วยวิธีทั่ว ๆ ไป อาจไม่สามารถใช้ได้กับสิวสเตียรอยด์ ไม่ว่าจะเป็น การกดสิว ฉีดสิว ใช้ครีมผลัดเซลล์ผิว หรือทรีตเมนต์ต่าง ๆ ที่ทำให้ผิวหน้ากระจ่างใส เพราะนอกจากจะไม่ช่วยให้อาการดีขึ้นแล้ว ยังอาจเป็นตัวกระตุ้นให้ผิวที่อ่อนแอมีการบอบช้ำไปมากกว่าเดิม ดังนั้นหากมีสิวสเตียรอยด์จึงควรดูแลตนเอง ดังนี้
1. หยุดใช้ครีมที่สงสัยว่ามีส่วนผสมของสเตียรอยด์ทันที
ในผู้ที่อาการไม่รุนแรง อาจมีอาการเพียง ผิวแห้ง หรือผื่นตามใบหน้า ประมาณ 1-2 เดือน ก็เริ่มกลับมาปกติได้ แต่ในกรณีที่มีการใช้สเตียรอยด์ติดต่อกันมานาน การหยุดใช้ทันทีอาจทำให้สิวเห่อมากขึ้น หรือเกิดผดทั่วไปหน้า การรักษาต้องใช้ความอดทน ความเข้าใจเรื่องผลข้างเคียงของสารสเตียรอยด์ มีการวางแผนหยุดใช้ยาอย่างค่อยเป็นค่อยไป(ไม่ควรหักดิบ) และมีวินัยในการรักษา ฟื้นฟูผิว ซึ่งการรักษาอาจใช้ระยะเวลาตั้งแต่ 3 เดือนขึ้นไป
2. ใช้สมุนไพรในการล้างสารพิษ สารสเตียรอยด์ที่สะสมในผิวและร่างกาย
การรักษาสิวสเตียรอยด์ และผิวติดสารสเตยรอยด์ ขั้นแรกควรล้างสารพิษ สารสเตียรอยด์ ที่ตกค้างภายในร่างกาย เพื่อให้การรักษามีประสิทธิภาพ และผิวสามารถฟื้นฟูได้อย่างเต็มที่ ด้วยสมุนไพรชุด Clean and Clear มีสรรพคุณช่วยล้างสารพิษจากสารสเตียรอยด์ สารปรอท สารเคมี โลหะหนักที่ตกค้างในผิวหนัง ตับ ไต ระบบเลือด ให้ขับออกมาอย่างปลอดภัย ไร้สารตกค้าง และช่วยลดการเกิดสิว ลดอาการบวม เห่อ แดง ของสิว
3. ใช้ผลิตภัณฑ์ดูแลผิวสูตรอ่อนโยน จากธรรมชาติ
เนื่องจากผิวหน้ามีความบอบบางเป็นพิเศษจึงควรใช้ผลิตภัณฑ์ในการดูแลผิวที่อ่อนโยน จากธรรมชาติ โดยใช้ Toner สูตร Pore and Blemish ตัวบำรุงสูตรน้ำ เป็นสูตรที่ออกแบบมาสำหรับฆ่าเชื้อสิว ลดรอยแดง รอยดำจากสิว ลดอาการเห่อ บวม แดงจากสิวสเตียรอยด์ และผิวที่ติดสารสเตียรอยด์ พร้อมบำรุงผิวให้ชุ่มชื้น ไม่อุดตัน ซึมซาบอย่างรวดเร็ว
แนะนำใช้ร่วมกับ สบู่ออแกนิค สูตรมังคุด ปลอดสารเคมีของปุณรดา ทำความสะอาดลึกถึงรูขุมขน เนื้อฟองนุ่มละมุนเพราะไม่ใส่สารเพิ่มฟอง ผลิตจากสมุนไพรแท้ จึงมีสรรพคุณในการฟื้นฟูผิว อาการอักเสบ แดง คัน มาพร้อมผิวที่สะอาดหมดจรด เมื่อใช้ต่อเนื่องสิวจะลดปริมาณลงอย่างเห็นได้ชัด มาพร้อมสรรพคุณบำรุงให้ผิวนุ่ม ชุ่มชื้น ไม่ก่อให้เกิดการแพ้ ช่วยฆ่าเชื้อสิว รักษาสิวสเตียรอยด์ ปกป้องผิวหน้าจากเชื้อแบคทีเรีย และ สิ่งสกปรก
4. พักการแต่งหน้า
เนื่องจากเครื่องสำอางค์ที่ใช้แต่งหน้าหากล้างไม่สะอาด อาจทำให้เกิดการอุดตัน รวมถึงผิวที่ติดสารสเตียรอยด์ จะมีความบอบบาง มีโอกาสที่สารเคมีในเครื่องสำอางค์จะซึมเข้าผิวได้มากกว่าปกติ และทำให้เกิดการแพ้ ระคายเคือง
5. หลีกเลี่ยงการใช้ผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดที่มีส่วนผสมของน้ำหอม และ สาร AHA / BHA ที่ทำให้หน้าขาว ลดริ้วรอย ช่วยให้ผิวกระจ่างใจ
เพราะสารเหล่านี้จะกระตุ้นให้เกิดการผลัดเซลล์ผิว รวมถึงทำให้เกิดการแพ้ และระคายเคืองได้ง่าย ในผิวที่ติดสารสเตียรอยด์ และมีสิวสเตียรอยด์
6. งดการขัดหน้า นวดหน้า และการโดนแดดโดยตรง
การขัดหน้า นวดหน้า จะยิ่งรบกวนผิว ทำให้ผิวบอบบาง และผลัดเซลล์ผิวไวกว่าปกติ และการถูกแสงแดดโดยตรงบ่อย ๆ ในผิวที่บอบบาง ทำให้กลไกการฟื้นฟูผิวเป็นไปได้ช้า และกระตุ้นให้สิวเห่อได้ด้วย ดังนั้นก่อนออกจากบ้านควรทาครีมกันแดดสูตรอ่อนโยนก่อนออกแดด30นาที พกร่ม หรือหมวก ไว้ป้องกันแสงแดด
7. พักผ่อนให้เพียงพอ เพิ่มปริมาณการดื่มน้ำ รับประทานอาหารที่มีประโยชน์ และออกกำลังกายสม่ำเสมอ
การพักผ่อนให้เพียงพอวันละ 6-8 ชั่วโมง จะช่วยให้ภูมิคุ้มกันในร่างกายแข็งแรง ฟื้นฟูผิวที่ถูกทำลายได้ไวขึ้น ทางการแพทย์แผนไทยแนะนำให้เข้านอนในช่วงประมาณ 22.00 น. จะเป็นช่วงที่ร่างกายได้ฟื้นฟูอย่างเต็มที่ ควรเพิ่มปริมาณการดื่มน้ำให้ได้ 5% ของน้ำหนักตัว เพื่อช่วยลดความร้อนในร่างกาย และทำให้ร่างกายขับระบายของเสียได้ดีขึ้น รวมถึงรับประทานอาหารที่มีประโยชน์ให้ครบ 5 หมู่ และหมั่นออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอสัปดาห์ละ 3-5 ครั้ง ครั้งละ 30 นาที (ในกรณีที่ไม่แพ้เหงื่อตนเอง) เพื่อช่วยขับเหงื่อและระบายความร้อนที่สะสมภายในร่างกาย
8. หลีกเลี่ยงการซื้อผลิตภัณฑ์ที่ไม่ได้มาตรฐาน อวดอ้างสรรพคุณเกินจริง
ควรเลี่ยงการซื้อผลิตภัณฑ์ที่ไม่ได้มาตรฐาน อวดอ้างสรรพคุณเกินจริง โดยเฉพาะคำโฆษณาเกินจริง เช่น ขาวไว สิวหายขาด รักษาฝ้า ใน 7 วัน เป็นต้น และเลือกใช้ผลิตภัณฑ์ที่มีเลขทะเบียน อย. ที่ถูกต้อง สามารถตรวจสอบได้ที่เว็ปไซต์สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา หรือยาและผลิตภัณฑ์ที่จ่ายโดยแพทย์ผู้เชี่ยวชาญที่น่าเชื่อถือ
สิวสเตียรอยด์ หรือ ผิวติดสารสเตียรอยด์ หลายคนอาจเชื่อว่ารักษาไม่หาย ต้องเป็นเรื้อรัง ในความจริงแล้วหากเลี่ยงตั้งแต่สาเหตุคือการเลือกใช้ผลิตภัณฑ์ที่น่าเชื่อถือ ไม่โฆษณาเกินจริง หากจำเป็นต้องใช้ยาที่มีสารสเตียรอยด์ก็ควรใช้ตามคำแนะนำของแพทย์ไม่ใช้ต่อเนื่องเกินความจำเป็น หรือ ซื้อยาทาที่มีสารสเตียรอยด์มาใช้เอง ยาควรมีเลขทะเบียนถูกต้อง และผ่านการรองรับจากผู้เชี่ยวชาญ ก็จะสามารถป้องกันการเกิดได้ แต่หากมีการใช้ผลิตภัณฑ์ที่มีสารสเตียรอยด์แล้ว แต่หากมีอาการแล้วก็อย่าพึ่งท้อแท้ สามารถใช้วิธีการดูแลสุขภาพที่ทางร้านแนะนำไปมารักษาและปรับใช้ได้เลย หากมีข้อสงสัยเพิ่มเติม สามารถแอดไลน์เข้ามาปรึกษาโดยตรง ได้ที่ Line ID : @Poonrada หรือโทรติดต่อ 02-1147027 ได้เลยนะคะทีมหมอยินดีให้คำปรึกษาค่ะ หากบทความนี้น่าสนใจและเป็นประโยชน์ สามารถแชร์ให้คนที่คุณรักเพื่อส่งมอบความห่วงใยได้เลยนะคะ
ปุณรดายาไทยเชี่ยวชาญด้านสมุนไพร และการดูแลสุขภาพแบบองค์รวม ออกแบบการรักษาเฉพาะบุคคลเพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่ดีที่สุดค่ะ หากมีข้อสงสัย สามารถปรึกษาปุณรดายาไทยได้นะคะ ปรึกษาฟรีไม่มีค่าใช้จ่ายค่ะ
สามารถปรึกษากับพวกเรา Poonrada Yathai ได้เสมอนะคะ (ปรึกษาฟรีไม่มีค่าใช้จ่ายค่ะ)
LINE ID: @Poonrada
TEL: 02-1147027
ผู้เชี่ยวชาญด้านสมุนไพร
"สมุนไพร คือ ของขวัญจากธรรมชาติ เราจึงตั้งใจมอบสมุนไพรที่ดีที่สุด ให้ถึงมือคุณ"
แพทย์แผนไทย
" ความมั่งคั่งที่แท้จริง จะเกิดขึ้นได้ เมื่อเรามีสุขภาพกายและใจที่ดี สมดุล แข็งแรง "