ปัญหาสิวที่หลังเกิดได้ไม่ว่าจะกับเพศไหน ๆ เพราะปัญหาไม่ได้อยู่ที่ฮอร์โมนเพียงอย่างเดียว นอกจากนี้สิวที่หลังยังสร้างความไม่มั่นใจให้กับการใส่เสื้อผ้า และมักเป็นปัญหาเรื้อรังที่แก้ได้ยาก ถึงจะหายจากสิวก็ยังจะมีรอยให้ต้องรักษาต่ออีก วันนี้หมอจะมาบอกเล่าสาเหตุให้ทุกคนเข้าใจ รวมไปถึงวิธีป้องกันและวิธีรักษาอย่างถูกวิธีกันค่ะ
สิวที่หลังเกิดจากรูขุมขนอุดตันด้วยปัจจัยต่าง ๆ ทั้งความมัน แบคทีเรีย สิ่งสกปรก ฝุ่นละออง คราบเหงื่อ หรือเซลล์ผิวที่ตายแล้ว หากเป็นสิวที่หลังหรืออก มักถูกประเมินว่าเป็นสิวที่มีอาการรุนแรง และหากมีสิวขึ้นเป็นจำนวนมาก ควรรีบทำการรักษา สิวที่หลังก็มีหลายชนิด คล้าย ๆ สิวที่ใบหน้า ทั้งสิวอุดตัน สิวหัวดำ สิวหัวหนอง สิวนูนแดง สิวหัวช้าง เป็นต้น และนอกจากปัจจัยเรื่องการอุดตันข้างต้นที่กล่าวมา ยังเกิดได้จากสาเหตุอื่น ๆ อีกได้เช่นกัน ได้แก่
• ฮอร์โมน
• กรรมพันธุ์
• อาหาร โดยเฉพาะอาหารประเภทคาร์โบไฮเดรตและน้ำตาล รวมไปถึงอาหารที่มีไขมันสูง
• ผลข้างเคียงจากยา เช่น ยารักษาอาการซึมเศร้า Corticosteroids เป็นต้น
• ความเครียด เวลามีความเครียดร่างกายจะผลิต cortisol ซึ่งเป็นฮอร์โมนที่ไปกระตุ้นการทำงานของต่อมไขมัน ทำให้ผลิตน้ำมันออกมามากกว่าปกติ
• ผลิตภัณฑ์บำรุงผิว ทำความสะอาดผิว เช่น แชมพูสระผม ครีมนวดผม ครีมอาบน้ำ ที่มีความรุนแรงและน้ำมันเป็นส่วนผสม
การรักษาสิวมีด้วยกันหลายวิธีทั้งการใช้ยา ใช้การเลเซอร์ และการดูแลรักษาด้วยธรรมชาติ วันนี้หมอจะขอแบ่งให้ชัด ๆ เป็น 3 หมวดหลัก ๆ เพื่อให้ทุกคนได้ลองเลือกแนวทางในการรักษาที่สนใจกันนะคะ
• รักษาโดยใช้ยา
ยาภายนอก
1. ยา Benzoyl Peroxide หรือ Benzac เป็นยากลุ่มทำให้ผิวลอก Keratolytics ยาตัวนี้หาซื้อได้ง่ายตามร้านขายยาทั่วไป มีสรรพคุณในการฆ่าเชื้อแบคทีเรีย และไม่ทำให้เชื้อแบคทีเรียพัฒนามาทนทานต่อฤทธิ์ของยาได้
2. Retinoid เป็นยาในกลุ่มอนุพันธ์วิตามิน A ถูกนำมาใช้ผสมในครีมยาทาสิว ลดรอยแผลเป็น รอยเหี่ยวย่น เป็นยาช่วยลดการอุดตันของสิวได้ ยาตัวนี้มีผลข้างเคียงทำให้ผิวแห้ง ปากแห้ง ผิวไวต่อแสง ดังนั้นควรควบคู่กัยการใช้ครีมกันแดดเป็นประจำ และเลี่ยงแสงแดดโดยตรง
3. กรด salicylic acid เป็นยากลุ่มเดียวกับ benzac (ยาทาทำให้ผิวลอก Keratolytics) หลาย ๆ คนคงเคยได้ยินในสรรพคุณการลดสิวของยาตัวนี้เนื่องจากเป็นส่วนผสมของ skin care หลายยี่ห้อในท้องตลาด salicylic acid เป็นกรดธรรมชาติ ช่วยลดการอุดตันและฆ่าเชื้อแบคทีเรียได้ นอกจากนี้ยังผลัดเซลล์ผิว ทำให้ Keratinocyte เกาะตัวกันน้อยลง ช่วยลดการเกิดสิวได้ แต่ผลไม่เท่ากับ Benzac และ Retinoid
4. Sulfur มักจะอยู่ในรูปของสบู่ และสเปรย์ในการรักษาสิว มีคุณสมบัติดูดซับความมันและสิ่งสกปรกได้ จึงถูกนิยมนำมารักษาสิวอักเสบได้ เป็นตัวที่ค่อนข้างนิยมในการรักษาสิวที่หลังและลำตัว
ยารับประทาน
1. sotretinoin นิยมใช้ในผู้ที่มีสิวอักเสบรุนแรง ตัวยาสามารถควบคุมความมัน ลดอาการอักเสบของรูขุมขน และต้านเชื้อแบคทีเรียได้ แต่มี side effect ไม่ควรใช้ในผู้ที่กำลังตั้งครรภ์และคุณแม่ให้นม เพราะมีผลทำให้เด็กทารกในครรภ์พิการแต่กำเนิดได้ มีความเสี่ยงสูงที่จะพบความบกพร่องทางสมองและเชาว์ปัญญา อีกทั้งจะต้องไม่บริจาคเลือดในระหว่างที่ทานยาจนกระทั่งหยุดยาไปแล้ว 1 เดือน การใช้ยาดังกล่าวจึงควรอยู่ภายใต้การดูแลของแพทย์เท่านั้น
2. ยากลุ่ม Tetracyclines และยากลุ่ม Macrolides ยาปฏิชีวนะที่ลดปริมาณของแบคทีเรียได้ แต่มีข้อควรระวังคือไม่ควรใช้ในปริมาณที่มากเกินความจำเป็นและไม่ควรทานต่อเนื่องกันนาน มีผลทำให้เชื้อดื้อยาได้ อีกทั้งทำให้จุลินทรีย์ในลำไส้เสียสมดุล ขนาดรับประทานของยาชนิดนี้ควรอยู่ภายใต้การดูแลของแพทย์
3. ยาคุมกำเนิดชนิดฮอร์โมนผสม เป็นยาที่มีผลกับฮอร์โมนจะช่วยต้าน androgen และ free testosterone ที่สูงเกินไป การใช้ยาคุมกำเนิดในการรักษาสิวควรอยู่ภายใต้การดูแลของแพทย์เท่านั้น
• รักษาโดยใช้เลเซอร์ ตอนนี้ตามคลินิกเวชกรรมมีเลเซอร์ในการรักษาสิวหลายชนิด ทั้งหมดต้องอยู่ภายในการดูแลของแพทย์นะคะ เช่น
1. เลเซอร์แสงสีแดง สีน้ำเงิน หรือแสงอินฟราเรด จะสามารถรักษาสิวได้ ยกเว้นสิวหัวขาวและสิวหัวดำ
2. Photopneumatic therapy จะช่วยลดการอุดตันในรูขุมขน สามารถรักษาสิวหัวขาวและสิวหัวดำได้ แต่ไม่สามารถรักษาสิวหัวช้างที่มีอาการอักเสบรุนแรงได้
3. Photodynamic therapy มีส่วนในการทำลาย เชื้อ P.acne ซึ่งเป็นสาเหตุของการเกิดสิวได้ เหมาะกับการรักษาสิวที่มีอาการรุนแรง รอยสิว แต่มีราคาที่สูงและผลข้างเคียงคือ ทำให้เกิดการระคายเคืองได้ง่าย
นอกจากนี้เมื่อสิวหายแล้ว ยังสามารถรักษารอยสิวที่หลังด้วยเลเซอร์ได้เช่นกัน แต่จะเป็นคนละชนิด เช่น Picosecond Laser , Dual Yellow Laser (ใช้เลเซอร์สีเหลือง และเลเซอร์สีเขียว ความยาวคลื่นประมาณ 511-578 นาโนเมตร) , Intense Pulsed Light Laser หรือ IPL เป็นต้น
• รักษาด้วยวิธีธรรมชาติและการดูแลตัวเอง
1. รักษาสิวด้วยสรรพคุณจากสมุนไพรธรรมชาติ
• ใช้ดินสอพองพอก รักษาบริเวณหลัง ให้ทาทั่วบริเวณที่เป็น ทิ้งไว้ 30 นาทีแล้วล้างออก ทำประมาณสัปดาห์ละ 1 ครั้ง ดินสอพองมีสรรพคุณช่วยให้สิวยุบและแห้งเร็ว หากใช้ผสมกับน้ำมะนาวด้วย จะช่วยเรื่องรอยสิว ผลัดเซลล์ผิวได้ดี
• นำมะขามเปียกผสมขมิ้นชันและน้ำเปล่าสะอาด ทาทั่วบริเวณที่เป็นสิว ทิ้งไว้ 15 นาทีแล้วล้างออก ขมิ้นชันมีสรรพคุณฝาดสมาน ช่วยทำให้แผลแห้ง หายเร็ว ลดอาการอักเสบของสิว ยับยั้งเชื้อแบคทีเรีย ส่วนมะขามเปียกมีฤทธิ์เป็นกรดอ่อน ๆ ช่วยขจัดเซลล์ผิวเก่า และป้องกันการเกิดสิวใหม่
• ใช้เกลือละเอียดสครับผิวที่หลังเป็นประจำ สัปดาห์ละ 2-3 ครั้ง (ไม่ควรสครับบริเวณที่สิวอักเสบ) ผลึกเกลือจะช่วยทำความสะอาดรูขุมขน ลดสิว ทำให้ผิวขาวเนียน
2. เลือกใช้ผลิตภัณฑ์ที่เหมาะสม
• แชมพู ครีมนวด ก็เป็นอีกหนึ่งสาเหตุที่ทำให้เป็นสิวที่หลังได้ ควรเลือกแชมพูที่ไม่มีส่วนประกอบของ SLS , SLES , Parabens , น้ำหอม , น้ำมันเคลือบผม เพราะสารเหล่านี้มีโอกาสจะกระตุ้นการแพ้ได้สูง
• ครีมอาบน้ำ ควรใช้ผลิตภัณฑ์ที่ไม่เป็นกรดหรือด่างมากไปจนเสียสมดุล ควรเลือกที่ ph 5-5.5 และเลี่ยงครีมอาบน้ำที่มีส่วนผสมของน้ำหอม เลี่ยงผลิตภัณฑ์ที่มีส่วนประกอบของ SLS , Parabens สำหรับคนไข้ที่ดูแลเรื่องสิวกับหมอ หมอจะแนะนำเป็น ออยส์อาบน้ำ derpaderma ซึ่งเป็นผลิตภัณฑ์ที่อ่อนโยน สามารถใช้ได้ตั้งแต่เด็กจนถึงผู้สูงอายุ เหมาะกับทุกสภาพผิว โดยเฉพาะผู้ที่ผิวระคายเคืองง่าย ผิวแพ้ง่าย ผ่านการทดสอบการแพ้ และ ระคายเคือง Non-Irritation test จาก Derm Scan Asia Dermatologically tested. ปราศจาก SLS , SLES และ Parabens
• ถ้ามีผิวที่แห้งเกินไปมีโอกาสจะทำให้สิวมากขึ้นควรเพิ่มสารที่เพิ่มความชุ่มชื้นแต่ไม่หนักผิวมากเกินไป
• ผลิตภัณฑ์ที่ทำความสะอาดเสื้อผ้า ควรใช้แบบอ่อนโยน เพื่อป้องกันผิวหนังระคายเคืองจากน้ำยาตกค้าง
3. เลี่ยงการทานอาหารที่กระตุ้นให้เกิดสิว ได้แก่
• ของมันของทอด อาหารไขมันสูง อาหารแปรรูป ผลิตภัณฑ์จากนมวัว เพราะอาหารเหล่านี้จะไปทำให้ร่างกายดูดซึมไขมันมากขึ้น กระตุ้นให้มีการผลิตไขมันในต่อมไขมันเพิ่มขึ้นได้
• อาหารที่มีส่วนประกอบของแป้ง น้ำตาลในปริมาณสูง เช่น ช็อกโกแลต กลูเตน ขนมปังขาว เบเกอรี่ คุ้กกี้ เครื่องดื่มชูกำลัง น้ำหวาน เป็นต้น
4. เลี่ยงการบีบ แคะ แกะ เกา สิวที่หลัง เพราะมีโอกาสกระตุ้นให้อาการอักเสบเพิ่มมากขึ้น
1. สำหรับคนเหงื่อออกเยอะ แพ้เหงื่อตัวเอง มักมีสิวจากเหงื่อ ควรเลือกใส่เสื้อผ้าที่หลวม ระบายอากาศได้ดี ไม่ใส่เสื้อผ้ารัดแน่นเกินไป ไม่ใส่เสื้อผ้าซ้ำ เลี่ยงการถอดเสื้อออกกำลังกายในบริเวณพื้นที่สาธารณะที่ใช้ร่วมกันกับผู้อื่น หลังจากที่ออกกำลังกายเสร็จ หรือหลังทำกิจกรรมที่เหงื่อออกมากควรรีบทำความสะอาดตัว เพื่อลดโอกาสการเกิดสิว
2. เลือกใช้ผลิตภัณฑ์ในการดูแลผิว แชมพู ครีมนวดผม รวมไปถึงผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดของใช้ที่เหมาะสม
3. เลี่ยงการรับประทานอาหารที่ไปเพิ่มระดับน้ำตาลในร่างกายที่สูงเกินความต้องการ อาหารที่ไปเพิ่มระดับน้ำตาลที่พบได้บ่อย เช่น ช็อกโกแลต ขนมปังขาว เค้ก เบเกอรี่ คุกกี้ น้ำหวาน เครื่องดื่มชูกำลัง ขนมขบเคี้ยว มันฝรั่งทอด เป็นต้น หมั่นทานผัก ธัญพืช ผลไม้ ในมื้ออาหารให้มากขึ้นเพื่อลดการดูดซึมของน้ำตาลและไขมัน
4. รักษาความสะอาดสิ่งของรอบตัวที่ต้องสัมผัสกับร่างกาย เช่น ผ้าปูที่นอน ปลอกหมอน ผ้าห่ม ผ้าเช็ดตัว เสื้อผ้า ชุดชั้นใน เป็นประจำ เพื่อลดการสะสมของเชื้อโรคและฝุ่นละออง
วิธีการสำคัญที่การป้องกันคือ สังเกตตัวเองว่าปัจจัยเสี่ยงที่ทำให้เกิดสิวที่หลังคืออะไร และเลี่ยงปัจจัยเสี่ยงนั้น แต่หากใครไม่เคยได้สังเกต หมออยากชักชวนให้มาร่วมกันสังเกตตัวเองกันนะคะ เพราะวิธีนี้จะช่วยให้เราไม่ต้องเดาสุ่มว่าเกิดจากอะไร แถมยังแก้ไขปัญหาได้ตรงจุดด้วยค่ะ
หากใครมีปัญหาเรื่องสิวต้องการสอบถามเพิ่มเติม ปุณรดายาไทยมีทีมแพทย์แผนไทยที่มีประสบการณ์ยินดีให้คำปรึกษาสำหรับการใช้สมุนไพรในการรักษาอาการต่าง ๆ ได้ สามารถปรึกษาอาการเข้ามาทาง Line ของปุณรดายาไทยได้เลยนะคะ คุณหมอคอยดูแลให้คำแนะนำทุกวัน ตั้งแต่ 09:00 - 21:00 เลยค่ะ ติดต่อทาง Line id : @poonrada หรือ โทร 02-1147027 นะคะ
ปุณรดายาไทยเชี่ยวชาญด้านสมุนไพร และการดูแลสุขภาพแบบองค์รวม ออกแบบการรักษาเฉพาะบุคคลเพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่ดีที่สุดค่ะ หากมีข้อสงสัย สามารถปรึกษาปุณรดายาไทยได้นะคะ ปรึกษาฟรีไม่มีค่าใช้จ่ายค่ะ
สามารถปรึกษากับพวกเรา Poonrada Yathai ได้เสมอนะคะ (ปรึกษาฟรีไม่มีค่าใช้จ่ายค่ะ)
LINE ID: @Poonrada
TEL: 02-1147027
ผู้เชี่ยวชาญด้านสมุนไพร
"สมุนไพร คือ ของขวัญจากธรรมชาติ เราจึงตั้งใจมอบสมุนไพรที่ดีที่สุด ให้ถึงมือคุณ"
แพทย์แผนไทย
" ความมั่งคั่งที่แท้จริง จะเกิดขึ้นได้ เมื่อเรามีสุขภาพกายและใจที่ดี สมดุล แข็งแรง "