1 ปัญหาที่พบเจอได้บ่อยในคุณแม่ที่กำลังตั้งครรภ์ เมื่อเริ่มมีน้ำหนักตัวมากขึ้น คือ ปัญหาในการขับถ่าย ทั้งขับถ่ายลำบาก ขับถ่ายมีเลือดปน
เนื่องจากแรงดันในช่องท้องที่เพิ่มขึ้น จนทำให้เกิดอาการ “ริดสีดวงทวาร” และมักจะเป็นริดสีดวงในระยะที่มี ก้อนริดสีดวงยื่นออกมาภายนอก บางครั้งก็มีเลือดออก ยิ่งทำให้คุณแม่หลายท่านเกิดความกังวลใจ ไม่สบายใจ ไม่สบายตัว รบกวนการใช้ชีวิต และยังขับถ่ายยากขึ้นกว่าเดิมอีก
หมอพบว่าคนไข้ที่เป็นคุณแม่ตั้งครรภ์ส่วนมาก มีความกังวลใจในเรื่องการรักษาริดสีดวง เพราะการใช้ยาระหว่างตั้งครรภ์อาจจะมีความเสี่ยงต่อลูกน้อยในครรภ์ได้ วันนี้หมอเลยจะขอมาอธิบายแนวทางการรักษา รวมถึงความเข้าใจในตัวโรคริดสีดวงทวารหนักตอนตั้งครรภ์ เพื่อให้คุณแม่ทุกท่าน หมดความกังวลใจ ตอบหมดทุกข้อสงสัย และ เตรียมพร้อมรับมือกับอาการริดสีดวงทวารหนักตอนตั้งครรภ์อย่างถูกวิธีค่ะ
สาเหตุหลักที่ทำให้คุณแม่ตั้งครรภ์เป็นริดสีดวงเกิดจาก ฮอร์โมนโปรเจสเตอโรนที่เพิ่มมากขึ้นระหว่างตั้งครรภ์ ทำให้การบีบตัวของลำไส้ใหญ่ลดลง และมดลูกที่ขยายขนาดใหญ่ขึ้นเพื่อรองรับการเจริญเติบโตของทารก จนไปกดหลอดเลือดดำใหญ่ในช่องท้อง (โดยเฉพาะคุณแม่ที่ตั้งครรภ์ในช่วงไตรมาสที่ 2 - 3 หรือ ตั้งแต่ช่วงเดือนที่ 4 - เดือนที่ 9) ส่งผลให้เลือดบริเวณทวารหนักไหลเวียนได้ไม่ดี เกิดการคั่งอยู่ที่หลอดเลือดบริเวณทวารหนัก ความดันในหลอดเลือดจึงเพิ่มสูงขึ้น จนเส้นเลือดดำโป่งพอง ทำให้เกิดริดสีดวงทวาร นอกจากการคั่งของหลอดเลือดที่ทวารหนักแล้ว ก็สามารถเกิดการคั่งของหลอดเลือดที่อวัยวะส่วนล่าง ตั้งแต่ท้องลงไปได้ ได้อีก เช่น เท้า ขา อาจจะมีอาการบวมบริเวณเหล่านี้ได้เช่นกัน
รวมไปถึงอิริยาบถในชีวิตประจำวันที่เปลี่ยนไปเมื่อตั้งท้อง คือ คุณแม่มักจะลดกิจกรรมในชีวิตประจำวันลง มีการพักผ่อนนั่งหรือยืนอยู่กับที่เป็นเวลานาน ไม่ค่อยได้ออกกำลังกาย เพราะเหนื่อย เพลีย ง่ายขึ้นจากการเปลี่ยนแปลงของฮอร์โมน ทำให้การไหลเวียนเลือดไม่ดี ปัจจัยเหล่านี้เป็นตัวส่งเสริมการเป็นริดสีดวงทวารได้มากขึ้น
สำหรับคุณแม่ที่เดิมก่อนตั้งครรภ์มีภาวะที่ขับถ่ายยาก ท้องผูก หรือมีโรคริดสีดวงทวารอยู่แล้ว ก็ต้องระวังให้ดีเพราะมีโอกาสที่อาการจะกำเริบ และอักเสบมากขึ้นได้ในช่วงที่ตั้งครรภ์ค่ะ
คุณแม่ตั้งครรภ์มักจะพบอาการริดสีดวงทวารได้บ่อยในช่วงไตรมาสที่ 3 หรือเดือนที่ 7-9 เนื่องจากเป็นช่วงที่น้ำหนักตัวมาก รวมไปถึงมดลูกมีการขยายขนาดใหญ่ที่สุด ทำให้โอกาสการเกิดริดสีดวงมากกว่าการตั้งครรภ์ในเดือนอื่นๆ และมีโอกาสจะเป็นมากขึ้น หรืออักเสบได้ในช่วงหลังคลอด สำหรับคุณแม่ที่คลอดโดยวิธีธรรมชาติ หรือเบ่งคลอดเอง เพราะแรงดันในหลอดเลือดบริเวณริดสีดวงจะยิ่งเพิ่มขึ้น โป่งพอง จนมีอาการอักเสบได้
ตอนขับถ่ายคุณแม่ที่ตั้งครรภ์แนะนำให้สังเกตอาการว่ามีตามข้อเหล่านี้หรือไม่
1.รู้สึกเจ็บภายในตอนขับถ่าย หรือเจ็บบริเวณขอบทวารหนัก
2.หลังขับถ่าย มีอาการบวม หรือ ปวดรอบขอบทวาร
3.ขับถ่ายปนเลือดสด มีเลือดออกตอนขับถ่าย
4.คลำพบก้อนเนื้อ ติ่งเนื้อที่ทวารหนัก
5.มีอาการถ่ายยาก ถ่ายไม่สุด อุจจาระก้อนเล็ก ลีบแบนกว่าปกติ
ริดสีดวงทวารจะแบ่งเป็น 2 ประเภท คือริดสีดวงทวารภายในและภายนอก
• ริดสีดวงทวารภายใน จะแบ่งออกได้เป็น 4 ระยะคือ
ระยะที่ 1 ริดสีดวงทวารอยู่ภายใน ขับถ่ายปนเลือด อาจจะมีอาการปวด เจ็บอยู่ภายในได้ แต่ตอนขับถ่ายจะไม่พบก้อนริดสีดวง
ระยะที่ 2 ริดสีดวงยื่นออกมาขณะขับถ่าย แต่หดกลับได้เองหลังขับถ่ายเสร็จ อาจจะมีอาการปวด เจ็บ ระคายเคือง หรือถ่ายปนเลือดร่วมด้วยได้
ระยะที่ 3 ริดสีดวงยื่นออกมาขณะขับถ่าย แต่หดกลับเองไม่ได้ ต้องใช้นิ้วดันกลับ อาจจะมีอาการปวด เจ็บ ระคายเคือง หรือถ่ายปนเลือดร่วมด้วยได้
ระยะที่ 4 ริดสีดวงยื่นออกมาภายนอก ไม่สามารถดันกลับได้ มีอาการปวด บวม อักเสบร่วมด้วย สามารถมีภาวะถ่ายปนเลือดร่วมด้วยได้
• ริดสีดวงทวารภายนอก จะไม่มีระยะ อาการ คือ คลำพบริดสีดวงทวารอยู่ที่ขอบทวารหนัก อาจจะมีอาการอักเสบหรือไม่มีก็ได้
คุณแม่ตั้งครรภ์ส่วนมากมักจะเป็นริดสีดวงทวารภายในระยะที่ 4 หรือริดสีดวงภายนอก เนื่องจากแรงดันในหลอดเลือดมากกว่าคนปกติ ดังนั้น ควรหมั่นสังเกตอาการ และรีบทำการรักษาอย่างถูกวิธี เพื่อป้องกันไม่ให้อาการอักเสบเป็นมากขึ้นนะคะ
คุณแม่ที่ตั้งครรภ์และมีริดสีดวงร่วมด้วยไม่ต้องกังวลนะคะ คุณแม่สามารถคลอดบุตรได้เองตามปกติค่ะ ไม่ได้เป็นอันตราย หรือส่งผลกระทบต่อการคลอดด้วยวิธีธรรมชาตินะคะ
หมอบอกเลยว่าโรคนี้ไม่ได้เป็นอันตรายค่ะ เป็นเรื่องปกติที่สามารถเกิดขึ้นได้ในคุณแม่ตั้งครรภ์นะคะ แต่ควรหมั่นสังเกตอาการให้ดี โดยหากเป็นในระยะที่ 1-3 ที่อาการไม่รุนแรงมาก การปรับพฤติกรรมก็จะช่วยบรรเทาอาการได้บ้าง แต่เนื่องจากสรีระที่เปลี่ยนไปทำให้การฟื้นตัว หรือบรรเทาอาการอักเสบไม่ดีเท่าที่ควร โดยเฉพาะหากเป็นริดสีดวงระยะที่ออกมาภายนอกแล้ว ต้องรีบฟื้นฟู และรักษาด้วยตัวยาอย่างเร็วที่สุด
อีก 1 อาการที่น่าเป็นกังวลคือ หากเป็นริดสีดวงภายในที่มีเลือดออกร่วมด้วย ควรสังเกตดังนี้
• ปริมาณเลือดว่าเยอะมากน้อยแค่ไหน : บ่งบอกว่าคุณแม่มีการเสียเลือดมากหรือน้อยเพื่อเฝ้าระวังอาการ
• หลังขับถ่ายแล้วยังมีเลือดออกมาระหว่างวันไหม : โดยปกติหลังขับถ่ายมักจะไม่มีเลือดออกแล้ว แต่หากมีเลือดออกแนะนำให้ตรวจเพิ่มเติม อาจจะมีแผลภายใน หรือมีอาการข้างเคียงจากปัจจัยอื่น ๆ ได้
• หลังขับถ่ายมีอาการอ่อนเพลียหรือไม่ : หากมีอาการอ่อนเพลีย แสดงว่ามีการเสียเลือดมาก หากพัก ดื่มน้ำหวานแล้วอาการไม่ดีขึ้น ควรรีบพาคุณแม่ไปโรงพยาบาลนะคะ
สิ่งที่สำคัญที่สุด คือ เมื่อคุณแม่มีริดสีดวงในระหว่างตั้งครรภ์ ไม่ควรหาซื้อยาทานเองโดยไม่ได้ปรึกษาคุณหมอ เพราะอาจจะทำให้เกิดผลข้างเคียงต่อทารกในครรภ์ได้
1. ดื่มน้ำให้เพียงพอ
ควรดื่มน้ำให้ได้อย่างน้อย 2-3 ลิตรต่อวัน เพื่อช่วยให้เลือดลมในร่างกายไหลเวียนได้ดีขึ้น ลดการข้นหนืดของเลือด ช่วยในเรื่องการไหลกลับของหลอดเลือดส่วนปลาย และช่วยเพิ่มน้ำในลำไส้ ลดการเกิดอุจจาระก้อนแข็ง
2. นอนท่าที่ถูกต้อง
สำหรับแม่ที่ตั้งครรภ์อยู่ควรนอนในท่าตะแคง เพราะจะช่วยให้เลือดไหลเวียนได้สะดวก ลดการกดทับจากมดลูก ที่ทำให้หลอดเลือดดำในช่องท้องไหลเวียนได้ไม่สะดวก และหาเวลาระหว่างวันในการนอนตะแคงซ้าย 10-20 นาที ทุก ๆ 2-3 ชั่วโมง หรือยกขาพาดกับเก้าอี้ประมาณ 10-20 นาที ก็จะช่วยได้อีกทางหนึ่งค่ะ
3. ขับถ่ายเป็นเวลา
ไม่ว่าจะมีอาการปวดถ่าย หรือไม่ปวด หมอแนะนำให้ควรฝึกขับถ่ายเป็นเวลาจนเกิดเป็นนิสัย เวลาที่ดีในการขับถ่ายคือ 05:00 - 07:00 น. ไตรมาสที่ควรระวังจะทำให้ริดสีดวงเป็นมากขึ้น คือ ไตรมาสที่ 3 ช่วงเดือน 7-9 คุณแม่อาจจะไม่อยากนั่งขับถ่ายช่วงเช้า เพราะรู้สึกเหนื่อย ปวดหลัง ทำให้ละเลยตรงจุดนี้ไป อาจจะส่งผลทำให้อุจจาระยิ่งแข็ง ท้องผูกเบ่งถ่ายยาก
4. ขยับร่างกายอยู่เสมอ
คุณแม่ควรหมั่นปรับเปลี่ยนอิริยาบถในทุก ๆ ชั่วโมง เพื่อทำให้เลือดลมไหลเวียนได้สะดวก ลำไส้จะเคลื่อนไหวได้ดีมากขึ้น และหมั่นออกกำลังกายแบบเบา ๆ เช่น โยคะ ไทเก๊ก พีลาทีส เดินประมาณ 20-30 นาที อย่างน้อยสัปดาห์ละ 2-4 ครั้ง เป็นประจำ
5. แช่น้ำอุ่นเป็นประจำ
การแช่น้ำอุ่นจะช่วยให้เลือดลมบริเวณริดสีดวงทวารไหลเวียนได้ดีขึ้น ลดอาการอักเสบของริดสีดวง ทำให้คุณแม่สบายตัว ควรแช่อย่างน้อย 10-15 นาทีเป็นประจำทุกวัน
หากปรับพฤติกรรมแล้วอาการยังไม่ดีขึ้น หมอแนะนำให้รีบทักเข้ามาปรึกษา เพื่อใช้ยาในการรักษาอาการอย่างเหมาะสม ที่ปลอดภัยต่อคุณแม่และลูกน้อยในครรภ์
1. ห้ามยกของหนัก เพราะการยกของหนักจะยิ่งเพิ่มแรงกดทับในช่องท้อง ทำให้อาการริดสีดวงอักเสบมากขึ้น
2. ห้ามนอนหงายเป็นเวลานาน เพราะ มดลูกที่ขยายขนาดใหญ่จะไปกดทับบริเวณหลอดเลือดดำ ส่งผลให้เลือดลมไหลเวียนได้ไม่ดี ริดสีดวงจะหายได้ช้า
3. ห้ามเบ่งอุจจาระรุนแรง หากนั่งขับถ่ายแล้วประมาณ 5 นาทีแล้วไม่ขับถ่าย ก็ควรลุกจากห้องน้ำ ไปเดินประมาณ 5-10 นาทีแล้วค่อยกลับมานั่งใหม่ ไม่ควรนั่งนาน เพราะจะทำให้เลือดไปคั่งที่ริดสีดวงเพิ่มมากขึ้น
4. ห้ามกลั้นอุจจาระ เมื่อไหร่ที่รู้สึกปวดถ่าย แนะนำให้รีบขับถ่ายทันที
5. ห้ามทานอาหารแสลงต่ออาการริดสีดวงในช่วงที่มีอาการอักเสบ เช่น ของหมักดอง กะปิ ปลาร้า ผลไม้ดอง เนื้อเป็ด เนื้อห่าน เนื้อวัว เครื่องในสัตว์ หน่อไม้ทั้งแบบสดและแบบดอง ข้าวเหนียว ขนมจีนเส้นหมัก อาหารทะเล กุ้ง หอย ปู หมึก ของดิบ ซาชิมิ ปลาดิบ ซูชิ อาหารอีสาน เป็นต้น
อาการริดสีดวงตอนท้อง สามารถหายเองได้ ประมาณ 2-4 สัปดาห์ หลังจากคลอดบุตรในรายที่ไม่ได้เป็นรุนแรง และเพิ่งเป็นครั้งแรกตอนตั้งครรภ์ แต่สำหรับคุณแม่บางรายก็อาจจะมีอาการอักเสบมากขึ้นหลังเบ่งคลอด หรือในรายที่มีปัญหาเรื่องการขับถ่ายแต่เดิม เคยเป็นริดสีดวงทวารมาก่อน ก็อาจจะไม่ได้หายได้เองหลังจากคลอดบุตรนะคะ แต่ไม่ต้องกังวลใจไปค่ะ อาการริดสีดวงสามารถรักษาได้ตั้งแต่ตอนตั้งครรภ์ ไปจนถึงหลังคลอดจนอาการหายสนิทได้เลยนะคะ
การรักษาริดสีดวงในคุณแม่ตั้งครรภ์ ทางแผนปัจจุบันจะเป็นการใช้ภายนอก เช่น ยาเหน็บริดสีดวงคนท้อง เพราะมีความปลอดภัยในการรักษา ไม่มีผลต่อทารกในครรภ์ น้อยครั้งที่จะมีการผ่าตัด นอกจากจะเป็นอาการที่รุนแรงมาก โดยทั้งนี้คุณหมอแผนปัจจุบันจะต้องประเมินจากอาการเพื่อทำการรักษาด้วยวิธีที่เหมาะสม
ส่วนหมอเป็นแพทย์แผนไทยประยุกต์ ศาสตร์ในการรักษาและมุมมองต่อโรคก็ไม่ต่างกับแพทย์แผนปัจจุบันคือจะแบ่งการรักษาออกเป็น 2 ส่วนคือ
ในระหว่างการตั้งครรภ์ จะเป็นการใช้ยาภายนอกเพื่อบรรเทาอาการและลดอาการอักเสบให้กับคุณแม่ ทั้งนี้มั่นใจได้เลยนะคะว่าตัวยาปลอดภัย ไม่ส่งผลกระทบต่อลูกน้อยในครรภ์ ไม่มีส่วนผสมของสเตียรอยด์ หรือยาแก้อักเสบ ผลิตจากสมุนไพร 100% โดยชุดยา Feel Free Set ในการรักษาจะมี 2 ตำรับ คือ
• ยาทาริดสีดวงภายนอก B-Liz2 oil มีส่วนประกอบสำคัญของ น้ำมันงา เทียนดำ ผิวมะกรูด เปลือกต้นคงคาเดือด การบูร โดยจะไปช่วยให้ริดสีดวงฝ่อ ยุบ ลดอาการอักเสบลงได้ ช่วยฆ่าเชื้อแบคทีเรียและสิ่งสกปรกไม่ให้เข้าสู่หัวริดสีดวงทวาร และรักษาแผลฉีกขาดที่ทวารหนัก ในกรณีที่มีภาวะแผลปริร่วมด้วย เหมาะกับริดสีดวงภายในระยะที่ 3-4 และริดสีดวงภายนอก
• ผงแช่กาย So Fin มีส่วนประกอบสำคัญของ พญายอ กลีเซอรีน เกลือ มีสรรพคุณในการช่วยกระจายเลือดลมให้ไหลเวียนได้ดีขึ้น ลดการคั่งอั้นของหลอดเลือดดำที่ทวารหนัก ลดอาการปวด บวม อักเสบ ของริดสีดวงทวาร ช่วยผ่อนคลายให้คุณแม่ที่ตั้งครรภ์สบายตัว เหมาะกับริดสีดวงทวารในทุกระยะ
การรักษาอาการจะดีขึ้นตั้งแต่ 3-7 วันแรกหลังใช้ยา โดยเฉพาะอาการปวดอักเสบสามารถลดลงได้ตั้งแต่ครั้งแรกที่นั่งแช่ยา So Fin ในการรักษาคนไข้สามารถใช้ยาไปได้ตลอดทุกไตรมาสของการตั้งครรภ์จนกระทั่งคลอดได้เลยค่ะ เพื่อทำให้หลังจากคลอดการฟื้นตัวของอาการดีขึ้น จนสามารถหายสนิทได้เองนะคะ
หลังคลอดแล้วคุณแม่บางท่านจะยังมีปัญหาในเรื่องของอาการริดสีดวงทวารที่ยังไม่หายสนิท เนื่องจากอาจจะมีอาการอักเสบเรื้อรั้งตั้งแต่ก่อนตั้งครรภ์ หรือ ริดสีดวงอักเสบรุนแรงในขณะตั้งครรภ์ ทำให้ถึงแม้จะคลอดแล้ว ไม่มีปัจจัยในเรื่องแรงดันในช่องท้องจากมดลูกที่ขยายตัว ก็ยังมีอาการริดสีดวงได้อยู่ หมอแนะนำให้รักษาแบบครอบคลุมอาการตามระยะ
• สมุนไพร D-Clear ตำรับยารักษาริดสีดวงทวารโดยตรง ประกอบไปด้วยสมุนไพรหลักอย่าง เปลือกต้นส้มกุ้งใหญ่ เจตพังคี เปล้าใหญ่ ขมิ้นอ้อน กระวาน กานพลู หัวแห้วหมู โกฐน้ำเต้า เป็นต้น ที่จะเข้าไปช่วยให้เลือดลมบริเวณติ่งริดสีดวงไหลเวียนได้ดี ลดการคั่งอั้น สมานแผลริดสีดวงภายใน ทำให้ริดสีดวงฝ่อ ยุบ ลงได้ ลดอาการปวดได้ตั้งแต่ 5 - 7 วันแรกหลังใช้ยา
• สมุนไพร Clear ตำรับธรณีสัณฑฆาต ช่วยในการขับถ่าย ลดปัจจัยกระตุ้นอาการอักเสบของริดสีดวง มีส่วนสำคัญในการสมานแผลริดสีดวงภายใน ทำให้อุจจาระนิ่มลง ขับถ่ายได้สะดวกมากขึ้น เพิ่มการเคลื่อนไหวของลำไส้ ที่สำคัญคือ ไม่ทำให้ไซร้ท้อง หรือปวดท้องบิด สามารถรับประทานได้อย่างปลอดภัย ข้อควรระวังสำหรับคุณแม่หลังคลอดคือ ก่อนทานแนะนำให้ปรึกษาแพทย์แผนไทย หรือแพทย์แผนไทยประยุกต์ในการปรับตัวยาให้เหมาะสม
• ยาทาริดสีดวงภายนอก B-Liz2 oil มีส่วนประกอบสำคัญของ น้ำมันงา เทียนดำ ผิวมะกรูด เปลือกต้นคงคาเดือด การบูร โดยจะไปช่วยให้ริดสีดวงฝ่อ ยุบ ลดอาการอักเสบลงได้ ช่วยฆ่าเชื้อแบคทีเรียและสิ่งสกปรกไม่ให้เข้าสู่หัวริดสีดวงทวาร และรักษาแผลฉีกขาดที่ทวารหนัก ในกรณีที่มีภาวะแผลปริร่วมด้วย
• ผงแช่กาย So Fin มีส่วนประกอบสำคัญของ พญายอ กลีเซอรีน เกลือ มีสรรพคุณในการช่วยกระจายเลือดลมให้ไหลเวียนได้ดีขึ้น ลดการคั่งอั้นของหลอดเลือดดำที่ทวารหนัก ลดอาการปวด บวม อักเสบ ของริดสีดวงทวาร ช่วยผ่อนคลายให้คุณแม่ที่ตั้งครรภ์สบายตัว เหมาะกับริดสีดวงทวารในทุกระยะ
ในส่วนของยารับประทานและยาแช่ สามารถใช้ได้ในริดสีดวงทุกระยะ มีความปลอดภัย แม้คุณแม่จะให้นมบุตรอยู่ก็สามารถใช้ได้ ไม่ส่งผลกระทบต่อลูกน้อย สำหรับยาทาภายนอกจะเหมาะกับริดสีดวงในระยะที่มีก้อนริดสีดวงยื่นออกมาภายนอก ยาทาจะมีส่วนสำคัญในการทำให้ริดสีดวงทวารฝ่อยุบลงได้
คนไข้ท่านไหนที่มีความกังวลในเรื่องของการรักษาด้วยยาสมุนไพร หรือ ต้องการปรึกษาอาการก่อนการใช้ยา สามารถแอดไลน์ที่ปุ่มด้านล่างเพื่อติดต่อคุณหมอโดยตรงได้เลยนะคะ หมอเป็นคนดูแลเองทุกเคส ไม่มีแอดมินค่ะ
ทั้งนี้ในส่วนของการรักษานอกจากรักษาด้วยตัวยาแล้ว หมอเองจะบอกคนไข้เสมอว่า โรคริดสีดวงทวารนี้เป็นโรคจากพฤติกรรมที่มีส่วนสำคัญ การรักษาจะต้องอาศัยยาที่ได้ผล ตรงกับอาการ และ การปรับพฤติกรรมจากคนไข้ด้วย ถ้าอยากให้อาการหายขาด คือ อาการไม่กลับมาเป็นอีก คนไข้เองหลังจากรักษาอาการจนหายสนิทแล้ว ก็ควรปรับเปลี่ยนพฤติกรรม เลี่ยงอาหารแสลง จะได้ช่วยให้ร่างกายได้ฟื้นฟูตัวเอง กลับมาเป็นปกติ และไม่มีอาการริดสีดวงอีก
1.รับประทานอาหารที่มีกากใยมากขึ้น พร้อมกับดื่มน้ำในปริมาณที่เพียงพอ อาหารที่มีกากใย เช่น ผักใบเขียว ธัญพืชต่าง ๆ หากทานแบบปรุงสุกได้จะดีที่สุด รวมไปถึงผลไม้ที่ช่วยในเรื่องระบบขับถ่ายด้วย เช่น มะละกอ ลูกพรุน กล้วยน้ำว้า เป็นต้น
2.เลือกเนื้อสัตว์ที่ไม่กระตุ้นอาการอักเสบ เช่น เนื้อปลาขาว เนื้อไก่ หลีกเลี่ยงการทานสัตว์เนื้อแดงช่วงมีอาการ เพราะสัตว์เนื้อแดงมีไขมันที่สูง และมักทำให้อาการอักเสบในเซลล์เพิ่มขึ้น
3. ฟื้นฟูจุลินทรีย์ในลำไส้ให้แข็งแรงด้วยการรับประทานโพรไบโอติกส์เป็นประจำ โดยเฉพาะผู้ที่ท้องผูก มักขับถ่ายไม่ตรงเวลา รับประทานยาเคมี หรือยาปฏิชีวินะบ่อย ๆ จะทำให้จุลินทรีย์ในลำไส้เสียสมดุล ทำให้อุจจาระแข็ง การดูดซึมในลำไส้ทำได้ไม่ดี โพรไบโอติกส์ที่แนะนำคือ จากอาหารหมักที่น้ำตาลและโซเดียมต่ำ เช่น กรีกโยเกิร์ต โยเกิร์ตไขมัน 0% รสธรรมชาติ กิมจิ นัตโตะ มิโซะ เป็นต้น
1. สัตว์เนื้อแดงหรือเนื้อสัตว์ที่มีไขมันสูง โดยเฉพาะเป็ด ห่าน นอกจากนี้คือ เนื้อวัว เนื้อแกะ ปลาที่มีสีสัน อาหารทะเล เนื้อสัตว์แปรรูป (ไส้กรอก หมูยอ แฮม เบค่อน) ของมัน ของทอด เพราะอาหารเหล่านี้มีปริมาณไขมันที่สูง ส่งผลกระทบต่อเซลล์ในร่างกาย ทำให้เลือดลมไหลเวียนได้ไม่ดี กระตุ้นอาการอักเสบที่จะเกิดขึ้นได้
2. อาหารย่อยยาก เช่น ข้าวเหนียว ขนมจีนเส้นหมัก แป้งหมัก เนื้อสัตว์ใหญ่ ผักดิบ อาหารดิบ อาหารเหล่านี้ทำให้ลำไส้ย่อยได้ยาก ค้างในลำไส้นาน เพิ่มแก๊สในกระเพาะอาหาร ส่งผลต่อระบบลำไส้ และการขับถ่ายโดยตรง
3. อาหารรสจัด โดยเฉพาะเผ็ดจัด เปรี้ยวจัด จะไปรบกวนลำไส้ ทำให้เกิดแก๊สในลำไส้ แสบกระเพาะอาหาร และเนื่องจากพริกเป็นสิ่งที่ร่างกายย่อยไม่ได้ หากวันไหนทานอาหารเผ็ดจัดมาก ๆ มีโอกาสทำให้ระคายเคืองที่รูทวาร เกิดเป็นอาการอักเสบได้
4. ผลิตภัณฑ์จากนม เนื่องจากพื้นฐานการรับสารอาหารประเภทนมวัวของชาวเอเชีย มักจะมีความพร่องเอนไซม์ในการย่อยนม เมื่ออายุมากขึ้น จะสังเกตได้ว่าตอนเด็กมักจะไม่มีปัญหาในเรื่องการทาน แต่เมื่ออายุมากขึ้น ส่วนมากจะรู้สึกว่าทานนมแล้วท้องอืด ท้องเสีย เป็นเพราะร่างกายมีการปรับลดการผลิตเอนไซม์ในการย่อยนมลดลง ดังนั้นควรงด เพื่อรักษาสมดุลของลำไส้ไม่ให้ทำงานผิดปกตินะคะ
เพราะในการรักษาอาการริดสีดวงทวารในคุณแม่ตั้งครรภ์กับปุณรดายาไทย จะไม่ได้เพียงจ่ายยา แต่เรายังมี การดูแลสุขภาพแบบองค์รวม ทั้งเรื่องของวิธีการดูแลสุขภาพที่ออกแบบเฉพาะบุคคลสำหรับผู้ที่ภาวะ/อาการริดสีดวงทวาร อาหารที่ควรทาน และ ควรงด อาหารแสลง อาหารที่ส่งผลโดยตรงต่ออาการริดสีดวงทวาร แนะนำให้แบบรายบุคคล
พร้อมทีมแพทย์แผนไทยและแพทย์แผนไทยประยุกต์ที่ได้รับใบประกอบโรคศิลปะจากสภาการแพทย์แผนไทยคอยดูแล ตอบคำถามทุกเคสโดยคุณหมอ ตั้งแต่ 09.00-21.00 น. ทุกวันไม่มีวันหยุด เพราะ ความเจ็บป่วย รอไม่ได้
ปุณรดายาไทยเชี่ยวชาญด้านสมุนไพร และการดูแลสุขภาพแบบองค์รวม ออกแบบการรักษาเฉพาะบุคคลเพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่ดีที่สุดค่ะ หากมีข้อสงสัย สามารถปรึกษาปุณรดายาไทยได้นะคะ ปรึกษาฟรีไม่มีค่าใช้จ่ายค่ะ
สามารถปรึกษากับพวกเรา Poonrada Yathai ได้เสมอนะคะ (ปรึกษาฟรีไม่มีค่าใช้จ่ายค่ะ)
LINE ID: @Poonrada
TEL: 02-1147027
ผู้เชี่ยวชาญด้านสมุนไพร
"สมุนไพร คือ ของขวัญจากธรรมชาติ เราจึงตั้งใจมอบสมุนไพรที่ดีที่สุด ให้ถึงมือคุณ"
แพทย์แผนไทย
" ความมั่งคั่งที่แท้จริง จะเกิดขึ้นได้ เมื่อเรามีสุขภาพกายและใจที่ดี สมดุล แข็งแรง "