หากคุณเป็นอีกหนึ่งคนที่กำลังอยู่ในช่วงของ “วัยทำงาน” ไม่ว่าจะสาขาอาชีพใดก็ตาม บอกได้เลยว่าคุณโชคดีมากๆ ค่ะ เพราะคุณกำลังจะได้รับประโยชน์จากบทความต่อไปนี้แบบเต็มๆ ไม่มีกั๊ก!
เมื่อพูดถึง “โรคที่มักเกิดกับวัยทำงาน” ต้องขอออกตัวก่อนเลยว่า มีด้วยกันหลายโรคมาก ๆ และเราจะขอคัดมาเฉพาะโรคที่พบได้บ่อยที่สุด 8 โรคก่อนนะคะ ซึ่งคุณจะได้ทราบทั้งลักษณะอาการ พฤติกรรม ที่ทำให้เกิดสาเหตุ วิธีรักษาและการป้องโรคทั้ง 8 โรค อย่างละเอียด ส่วนจะมีโรคยอดฮิตอะไรบ้างนั้น ตามมาดูกันเลยค่ะ
6. โรคหมอนรองกระดูกสันหลังเคลื่อน
7. โรคทางเดินหายใจ ภูมิแพ้ หอบหืด
มาเริ่มกันที่โรคที่ 1 “โรคทางเดินปัสสาวะอักเสบ” โรคนี้ถือเป็นหนึ่งในโรคยอดฮิตที่มักเกิดกับคนวัยทำงาน โดยเฉพาะพนักงานออฟฟิศจะพบได้บ่อยมากที่สุด และยังคงมีสถิติสูงมากขึ้นเรื่อย ๆ เนื่องจากคนวัยทำงานในยุคสมัยนี้ มักใช้ชีวิตกันอย่างเร่งรีบ เคร่งเครียด ไม่สามารถกิน นอน และขับถ่ายให้ตรงเวลาได้ง่ายๆ บางคนจำเป็นต้องกลั้นปัสสาวะนาน ๆ จนเป็นเหตุให้เกิด “โรคทางเดินปัสสาวะอักเสบ” นั่นเองค่ะ
เกิดจากการติดเชื้อภายในท่อทางเดินปัสสาวะ อาจเป็นที่อวัยวะส่วนใดส่วนหนึ่งหรือหลายส่วนร่วมกัน ได้แก่ (1.) ติดเชื้อที่รูเปิดของปัสสาวะ (2.) ติดเชื้อที่กระเพาะปัสสาวะ (3.) ติดเชื้อที่ท่อไต (4.) ติดเชื้อที่ไต โดยมีปัจจัยเสี่ยงที่ทำให้เกิดโรคทางเดินปัสสาวะอักเสบ ดังนี้ค่ะ
เชื้อที่ก่อให้เกิดโรคทางเดินปัสสาวะอักเสบนั้น ส่วนใหญ่เป็นเชื้อโรคตัวร้ายที่มีอยู่ในร่างกายของเราอยู่แล้ว เช่น
- เชื้อ อี. โคไล (E. coli) เป็นเชื้อโรคที่ปนเปื้อนมากับอุจจาระ
- เชื่อ Staphylococcus saprophyticus เป็นเชื้อโรคตัวร้ายที่อยู่บริเวณผิวหนังรอบ ๆ อวัยวะเพศหรือทวารหนักของเรา
“เรื่องความสะอาดสำคัญมาก ๆ นะคะ หากเราไม่อาบน้ำปล่อยให้หมักหมม อับชื้น เชื้อโรคเหล่านี้จะรุกรานเข้าไปในรูเปิดปัสสาวะ จนเกิดโรคทางเดินปัสสาวะอักเสบขึ้นได้ ถ้าได้เป็นแล้ว บอกเลย! ทรมานสุด ๆ ดังนั้นขยันอาบน้ำ ทำความสะอาดร่างกายเพื่อป้องกันไว้ก่อนจะดีกว่านะคะ”
หากเราดื่มน้ำน้อยเกินไปจะทำให้มีปริมาณน้ำปัสสาวะน้อย เชื้อแบคทีเรียที่ติดค้างกับปัสสาวะก็จะแบ่งตัวจำนวนมากขึ้นอยู่ภายในนั้น เป็นเหมือนที่เพาะเชื้อโรค จนน้ำปัสสาวะข้นเต็มไปด้วยเชื้อแบคทีเรีย เป็นเหตุให้เราปวดแสบตอนปัสสาวะ แนะนำให้ดื่มน้ำสะอาดมาก ๆ เพื่อเร่งการปัสสาวะขับเชื้อแบคทีเรียออกมาให้หมดค่ะ
การกลั้นปัสสาวะ จะทำให้เชื้อโรคตัวร้ายที่ปนเปื้อนเข้าไปภายในกระเพาะปัสสาวะ แบ่งตัวและเจริญเติบโตมากขึ้น เป็นเหตุให้เรารู้สึกปวดแสบตอนปัสสาวะจนน้ำตาเล็ดเลยทีเดียว
- ไม่ควรเร่งรีบปัสสาวะ เพราะการปัสสาวะไม่หมด น้ำปัสสาวะที่เหลือค้างจะเป็นที่เพาะเชื้อของเชื้อโรคตัวร้ายนะคะ
- ไม่ควรปัสสาวะแล้วล้างน้ำทุกครั้ง ซึ่งส่วนใหญ่คุณผู้หญิงชอบทำ หากน้ำไม่สะอาดพอ อาจทำให้มีเชื้อโรค ปนเปื้อนไปที่รูปัสสาวะเพิ่มได้อีก แนะนำให้ใช้กระดาษชำระที่สะอาดซับให้แห้งแทนค่ะ
- ปัสสาวะแล้วไม่ควรเช็ดจากด้านหลังมาด้านหน้า วิธีทำความสะอาดแบบนี้ทำให้เชื้อโรคจากทวารหนักหรือผิวหนังรอบ ๆ ปนเปื้อนมาที่รูปัสสาวะได้ค่ะ
การทำงานเพลินๆ จนไม่ดื่มน้ำ ไม่ลุกไปปัสสาวะ เป็นสาเหตุหนึ่งที่ทำให้เกิดโรคทางเดินปัสสาวะอักเสบได้เช่นกันค่ะ
พบว่าการกระทบกระเทือนรูปัสสาวะและกระเพาะปัสสาวะ จากการมีเพศสัมพันธ์ครั้งแรกๆ ก่อให้เกิดโรคทางเดินปัสสาวะอักเสบ ในคุณผู้หญิงอย่างรุนแรงได้ โดยจะมีอาการปัสสาวะเป็นเลือด ปวดเจ็บท้องน้อยหลังมีเพศสัมพันธ์ไม่กี่วัน เรียกภาวะนี้ว่า กระเพาะปัสสาวะอักเสบช่วงฮันนีมูน หรือ Honeymoon cystitis
"ข้อแนะนำ ในการป้องกันการเกิดภาวะนี้คือ ก่อนมีเพศสัมพันธ์และหลังมีเพศสัมพันธ์ให้ปัสสาวะทิ้ง ไม่กลั้นปัสสาวะ"
ในคุณผู้ชายที่มีเชื้อโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ เช่น หนองในแท้ หนองในเทียม และเชื้อโรคตัวร้ายอื่น ๆ ที่สะสมอยู่ที่หนังหุ้มปลาย หรือในคุณผู้ชายที่อวัยวะเพศไม่สะอาดมีการหมักหมมเชื้อโรค ไม่เคยขริบ เมื่อมีเพศสัมพันธ์จะก่อโรคทางเดินปัสสาวะอักเสบในคุณผู้หญิงได้
ในทางกลับกัน คุณผู้หญิงที่มีเชื้อโรค เมื่อมีเพศสัมพันธ์ จะก่อโรคทางเดินปัสสาวะอักเสบในคุณผู้ชายได้เช่นกัน หากทางเดินปัสสาวะอักเสบรุนแรงมาก ๆ อาจตามมาด้วยการเป็นหมันทั้งหญิงและชาย
หากเราท้องผูกหรือท้องเสีย จะทำให้มีอุจจาระปนเปื้อนเชื้อโรคมาคลออยู่ที่ทางออกทวารหนัก และเชื้อโรคเหล่านี้อาจปนเปื้อนมาที่รูปัสสาวะได้ค่ะ ดังนั้น ควรดูแลเรื่องการขับถ่ายให้เป็นปกติ ขับถ่ายทุกวัน เพื่อลดการสะสมของเชื้อโรคนะคะ
ในวัยเด็กและผู้สูงอายุ รวมถึงคนป่วย เป็นกลุ่มคนที่มีภูมิต้านทานโรคค่อนข้างต่ำ จึงไวต่อการติดเชื้อโรคมากกว่าวัยหนุ่มสาวที่แข็งแรงทั่วไป ควรหมั่นรักษาสุขภาพร่างกายให้แข็งแรง และรักษาความสะอาดอยู่เสมอ
วัยทองเป็นวัยขาดฮอร์โมนเพศหญิงเอสโตรเจน เนื้อเยื่อของระบบทางเดินปัสสาวะจะหดและห่อเหี่ยว ทําให้ภูมิต้านทานเชื้อโรคลดลง การกลั้นปัสสาวะและดูแลความสะอาดไม่ดี ก็อาจเกิดโรคทางเดินปัสสาวะอักเสบได้
ผู้ที่มีภาวะอ้วนมากไปหรือผอมมากไปจะมีภูมิต้านทานต่ำ โอกาสติดเชื้อจึงสูงกว่าคนทั่วไป และในคนอ้วนมาก จะพบว่ามีเชื้อโรคตัวร้ายอยู่ตามจุดสงวนมากอยู่แล้วเนื่องจากความอับชื้น
ไม่ว่าจะเป็นนิ่วที่ท่อปัสสาวะ กระเพาะปัสสาวะ ท่อไต หรือในไต ตัวนิ่วมักมีเชื้อโรคมาเกาะอยู่ทำให้ทางเดินปัสสาวะอักเสบ เจ็บปวด และมีปัสสาวะเป็นน้ำปนเลือด
คนไข้อัมพาตมักมีน้ำปัสสาวะคั่งจากการที่ประสาทไขสันหลังได้รับความกระทบกระเทือน หากมีแผลกดทับหรือการดูแลความสะอาดไม่ทั่วถึง ยิ่งทำให้เกิดโรคทางเดินปัสสาวะอักเสบได้ง่าย
โรคนี้จะมีเชื้อโรคตัวร้ายขึ้นที่ผิวหนัง (Colonization) มีโอกาสเป็นโรคทางเดินปัสสาวะอักเสบมากกว่าคนที่ไม่เป็นโรคเบาหวาน 2-3 เท่า ยิ่งถ้าคุมเบาหวานไม่ได้หรือคุมได้ไม่ดี ยิ่งมีโอกาสเสี่ยงสูงมากขึ้น
ผู้ที่เป็นโรคภูมิต้านทานบกพร่อง เช่น SLE ติดเชื้อเอชไอวี ฯลฯ ภูมิต้านทานที่ต่ำจะทำให้ร่างกายติดเชื้อได้ง่าย
การรับรังสีที่รักษาโรคมะเร็งทางนรีเวช เช่น มะเร็งปาก มดลูก มะเร็งมดลูก มะเร็งรังไข่ ทำให้เนื้อเยื่อของกระเพาะปัสสาวะถูกทำลาย โอกาสติดเชื้อทางเดินปัสสาวะภายหลังรักษา จะสูงกว่าคนทั่วไปหลายเท่า
อาจจะเกิดจากการได้รับบาดเจ็บ เคยผ่าตัด หรือมีการอักเสบเรื้อรัง ทำให้รูปัสสาวะตีบ น้ำปัสสาวะไหลไม่สะดวก มีการคั่งของน้ำปัสสาวะ
ฮอร์โมนจากการตั้งครรภ์จะทำให้ไตและท่อไตทำหน้าที่เปลี่ยนแปลงไป เสี่ยงต่อการติดเชื้อได้ง่าย นอกจากนี้ คนท้องยังมีตกขาวมาก ปัสสาวะบ่อย เนื้อเยื่อช่องคลอดจะสะสมสารไกลโคเจนซึ่งเป็นอาหารที่ดีของเชื้อโรค โอกาสติดเชื้อจึงสูงกว่าคนที่ไม่ตั้งครรภ์
ในคนตั้งครรภ์ หากมีการติดเชื้อทางเดินปัสสาวะและไม่ได้รักษา อาจก่อให้เกิดภาวะแทรกซ้อนสูงกว่าคนที่ไม่ติดเชื้อ เช่น แท้ง บุตรคลอดก่อนกำหนด มารดาตกเลือดหลังคลอด มารดามีโพรงมดลูกหรืออุ้งเชิงกรานอักเสบหลังคลอด ทารกติดเชื้อ พิการ ปัญญาอ่อน หรือเสียชีวิต
ต่อมลูกหมากโต เป็นเหตุให้ปัสสาวะไม่สะดวก เชื้อโรคที่รุกรานเข้าไปจึงตกค้างอยู่และแบ่งตัวเพิ่มจํานวนมากขึ้น
งานวิจัยจำนวนมากยืนยันว่า คนที่มีกลุ่มเลือดบี (B) หรือ เอบี (AB) ชนิด Non-secretors จะมีความเสี่ยงต่อการเกิดโรคทางเดินปัสสาวะอักเสบชนิดซ้ำซากสูง อธิบายได้ว่ากลุ่มเลือดดังกล่าว ทำให้ภูมิต้านทานต่อเชื้อโรคที่ทำให้ติดเชื้อทางเดินปัสสาวะลดลง
เห็นได้ชัดเลยว่า ปัจจัยที่ก่อให้เกิดโรคทางเดินปัสสาวะอักเสบมีมากมายขนาดนี้ คงไม่สงสัยแล้วนะคะว่าทำไมโรคนี้จึงเป็นโรคฮิตติดอันดับในชีวิตประจำวัน
1. หากเป็นการติดเชื้อทางเดินปัสสาวะส่วนล่าง มักจะเกิดอาการผิดปกติตามข้อใดข้อหนึ่งหรือหลายๆ ข้อ ดังนี้
- ปัสสาวะบ่อย คำว่าบ่อย หมายถึงถ่ายปัสสาวะเกิน 5 ครั้ง ในช่วงกลางวัน หรือปัสสาวะห่างกันไม่เกิน 2 ชั่วโมง และ/หรือในตอนกลางคืนที่หลับไปแล้ว ลุกมาปัสสาวะเกิน 1 ครั้ง
- กลั้นปัสสาวะไม่ได้ การกลั้นปัสสาวะไม่ได้นั้นแบ่งง่ายๆ เป็น 4 แบบคือ
(1.) ปัสสาวะเล็ด เวลาหัวเราะ ไอ จาม มีปัสสาวะเล็ดออกมาจากรูปัสสาวะ
(2.) ปัสสาวะราด เวลาปวดปัสสาวะมีปัสสาวะไหลราด ออกมาโดยควบคุมไม่ได้
(3.) ปัสสาวะล้น ปัสสาวะแล้วไม่รู้สึกว่าปัสสาวะหมด เนื่องจากกระเพาะปัสสาวะไม่มีแรงบีบตัว ปัสสาวะที่ไหลออก มาเป็นปัสสาวะที่ล้นมาจากกระเพาะปัสสาวะ
(4.) ปัสสาวะไหล มีน้ำปัสสาวะไหลหรือกะปริบออกมาตลอด ไม่สามารถกลั้นได้ อาจเกี่ยวข้องกับการมีรูรั่วที่ทางเดินปัสสาวะ
"การกลั้นปัสสาวะไม่ได้ มักไม่ได้เป็นอาการที่แสดงว่าเป็น ทางเดินปัสสาวะอักเสบโดยตรง แต่อาจจะเกิดร่วมกัน หรือเป็นผลต่อเนื่องจากการอักเสบในทางเดินปัสสาวะอย่างเรื้อรัง จนทําให้หน้าที่ของอวัยวะที่เกี่ยวข้องกับการขับถ่ายปัสสาวะผิดปกติไป"
- ปวดแสบลำกล้องหรือรูปัสสาวะเวลาปัสสาวะ
- ปัสสาวะสุดแล้วปวดหรือเสียว
- ปวดท้องน้อย มักมีอาการเมื่อเป็นโรคกระเพาะปัสสาวะอักเสบ
- เจ็บปวดเมื่อมีเพศสัมพันธ์ จากการกระทบกระเทือนรูปัสสาวะ กระเพาะปัสสาวะ ท่อไต หรือไตที่กำลังอักเสบ
- น้ำปัสสาวะสีขุ่น เมื่อเป็นมากขึ้นจะปัสสาวะเป็นเลือด หรือเป็นหนอง
- น้ำปัสสาวะมีกลิ่นเหม็น กลิ่นนั้นสัมพันธ์กับความ รุนแรงของการติดเชื้อ ความรุนแรงจะเพิ่มขึ้น จากเหม็นน้อย เป็นเหม็นมากหรือเหม็นเน่า
- มีอาการไม่จำเพาะเจาะจง ซึ่งมักจะเป็นในเด็กหรือ ทารก เช่น คลื่นไส้ อาเจียน ไม่ดูดนม ไม่กินอาหาร หงุดหงิด งอแง ร้องกวน ตัวเขียว มือ-เท้าเขียว ท้องเสีย ท้องผูก
- มีอาการไม่สบายเนื้อไม่สบายตัวจากการติดเชื้อ ได้แก่ ปวดหลัง ปวดกล้ามเนื้อ ปวดเมื่อยเนื้อตัว
2. หากเป็นการติดเชื้อทางเดินปัสสาวะส่วนบน มักจะเกิดอาการรุนแรงตามข้อใดข้อหนึ่งหรือหลายๆ ข้อดังนี้
- มีไข้สูงหนาวสั่น เนื่องจากเชื้อโรคเข้าสู่กระแสเลือด ไข้มักจะสูงเกิน 39 องศาเซลเซียส ขณะไข้ขึ้นจะหนาวสั่นอย่างรุนแรง ปวดเมื่อยตัว ตัวสั่นทั้งตัวจนฟันกระทบกัน
- เจ็บปวดบริเวณสีข้าง ข้างใดข้างหนึ่งหรือสองข้าง ร้าวไปด้านหลัง เนื่องจากบริเวณนั้นเป็นที่อยู่ของไต อาการปวดจะเหมือนอาการปวดกล้ามเนื้อแต่รุนแรงกว่า คนไข้บางคนบอกว่าปวดมากเหมือนเอวจะหลุดออกจากตัว หากไปนวดหรือทุบโดนบริเวณนั้นจะปวดทรมานอย่างมาก และการมีไข้สูง
- อ่อนเพลีย รับประทานน้ำและอาหารไม่ได้ จนอาจทำให้เกลือแร่ในร่างกายไม่สมดุล หากร่างกายอ่อนแออยู่แล้วยังเป็นโรคไต โรคหัวใจ โรคตับ โรคปอด โรคเบาหวาน โรคความ ดันโลหิตสูง หรือโรคที่ทำให้ร่างกายอ่อนแอ อาจถึงขั้นเสียชีวิตได้
- น้ำหนักลดอย่างรวดเร็วจากความเจ็บป่วย ไข้สูงทำให้สูญเสียพลังงานมาก มิหนำซ้ำยังรับประทานอะไรไม่ได้
- คลื่นไส้ อาเจียน เบื่ออาหาร กินข้าว-ดื่มน้ำไม่ได้
- ความดันโลหิตตก จากการติดเชื้อ และ/หรือร่างกาย ขาดน้ำ
- ความรู้สึกตัวเปลี่ยนแปลง ซึม เบลอ ไม่พูดไม่จา ฯลฯ หากปล่อยทิ้งไว้ไม่รักษา หรือรักษาแล้วแต่คนไข้ภูมิต้านทานไม่ดี เชื้อโรคจะเข้าไปในกระแสเลือด เกิดเลือดเป็นพิษ ผู้ป่วยจะหมดสติ โคม่า และเสียชีวิตได้
หากติดเชื้อทางเดินปัสสาวะส่วนบนต้องอยู่ในความดูแลของแพทย์เท่านั้น ไม่ควรรักษาด้วยตนเองเพราะอาจเป็นอันตรายถึงชีวิตได้นะคะ แต่หากติดเชื้อทางเดินปัสสาวะส่วนล่าง คุณสามารถรักษาตนเองเบื้องต้นได้ โดยที่คุณต้องแข็งแรงดี ไม่มีไข้ ไม่อ่อนเพลีย รับประทานน้ำและอาหารได้ตามปกติ
- พักผ่อนให้มาก
- หลีกเลี่ยงการขี่มอเตอร์ไซค์, ยกของหนัก, มีเพศสัมพันธ์, เดินทางไกล, หรือออกกำลังกาย ฯลฯ
- ดื่มน้ำให้มาก วันละเกิน 2 ลิตร
- ไม่กลั้นปัสสาวะ
- รับประทานสมุนไพร ได้แก่ ผลไม้จำพวกเบอร์รี่ กระเจี๊ยบ หญ้าหนวดแมว ส่วนใหญ่อยู่ในรูปของชาชง
เช่น ยาแก้ปวดท้อง ยาแก้ปัสสาวะบ่อย ยาแก้ปวด ฯลฯ
ชนิดรับประทานที่ครอบคลุมเชื้อที่มักเป็นสาเหตุ เช่น แอมพิซิลลิน (Ampicillin), อะม็อกซีซิลลิน (Amoxycillin), TMP-SMX (Trimethoprim-Sulfamethoxazole), wasฟล็อกซาซิน (Norfloxacin) หรือพวก Fluoroquinolones อื่น ๆ
“การรักษาตนเองนั้น หากครบ 2 วันแล้วอาการไม่ดีขึ้น ควร ไปพบแพทย์”
1. ดูแลสุขภาพให้แข็งแรงเสมอ ด้วยการกินอาหารให้ถูกสุขลักษณะ ไม่ขาดอาหารหมวดใดหมวดหนึ่ง ดื่มน้ำให้มาก
(30 ซีซี ต่อน้ำหนักตัว 1 กิโลกรัม) นอนหลับพักผ่อนให้เพียงพอ ออกกำลังกายเป็นประจำ
2. ดูแลน้ำหนักไม่ให้อ้วนหรือผอม เพราะทั้งสองอย่างนั้นเสี่ยงต่อการติดเชื้อ
3. ละเว้นการนอนดึก ดื่มสุรา สูบบุหรี่ ซึ่งทำลายสุขภาพ เสี่ยงต่อการติดเชื้อง่ายขึ้น
4. ดูแลสุขภาพอนามัยส่วนบุคคล โดยทั่วไปการอาบน้ำวันละ 2 ครั้ง ถือว่าเพียงพอ แต่หากทำงานที่มีเหงื่อไคลมาก หรือหลังออกกำลังกาย อาจต้องอาบน้ำเพิ่มนะคะ
5. ระวังการทำความสะอาดส่วนสงวน ควรระวังความสะอาดของห้องน้ำสาธารณะ เพราะน้ำที่สกปรกหรือโถชักโครกที่สกปรก สามารถนำเชื้อโรคมาปนเปื้อนบริเวณรูปัสสาวะได้
6. ระวังการติดเชื้อโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ หากไม่แน่ใจควรสวมถุงยางอนามัยนะคะ
7. อย่าห่วงงานจนกลั้นปัสสาวะ ไม่ควรนั่งอยู่กับที่นานเกิน 2 ชั่วโมง บอกตนเองเสมอว่าหากป่วยแล้วรายได้ที่ได้รับจะไม่คุ้มค่ายาและการรักษาตัว นอกจากไม่กลั้นปัสสาวะแล้ว ก็ไม่ควรบังคับตนเองให้ปัสสาวะบ่อยจนเกินไปด้วยนะคะ
8. ไม่ควรกลั้นอุจจาระ
คลิกอ่านโรคต่อไป >>> โรคปวดหัวไมเกรน
พ.ญ.ชัญวลี ศรีสุโข. 8 โรคร้ายของวัยทำงาน. พิมพ์รวมเล่มครั้งแรก. กรุงเทพฯ : สำนักพิมพ์มติชน, 2552.
สามารถปรึกษากับพวกเรา Poonrada Yathai ได้เสมอนะคะ (ปรึกษาฟรีไม่มีค่าใช้จ่ายค่ะ)
LINE ID: @Poonrada
TEL: 086-955-6366, 091-546-9415
ผู้เชี่ยวชาญด้านสมุนไพร
"สมุนไพร คือ ของขวัญจากธรรมชาติ เราจึงตั้งใจมอบสมุนไพรที่ดีที่สุด ให้ถึงมือคุณ"
แพทย์แผนไทย
" ความมั่งคั่งที่แท้จริง จะเกิดขึ้นได้ เมื่อเรามีสุขภาพกายและใจที่ดี สมดุล แข็งแรง "